IMDB : tt0092099
คะแนน : 7
วันที่ 16 พฤษภาคม 1986 คือวันแรกที่หนังเรื่อง Top Gun เข้าฉายในสหรัฐอเมริกา และหลังจากนั้นก็กลายเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ดังถล่มทลายเกิดคาด ตั้งแต่รายได้ แจ้งเกิดนักแสดงนำ ซาวน์แทร็ก ไปจนถึงแว่นกันแดดเรย์แบน และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมป๊อปในยุค 80's
บทหนัง Top Gun เขียนขึ้นจากบทความชื่อ Top Gun โดยอีฮัด โยเนย์ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร California เมื่อปี 1983 เกี่ยวกับชีวิตของนักบินขับไล่ของกองทัพอากาศ Naval Air Station Miramar ในซานดิเอโก มีนักเขียนบทหลายคนปฏิเสธโปรเจ็กต์นี้ไป จนตกถึงมือจิม แคช และแจ็ค เอปปส์ จูเนียร์ ที่ต้องผ่านการรีเสิร์ชและเข้าไปร่วมคลาสฝึกบินจริงๆ ที่ Miramar แต่ก็ใช่ว่าจะง่าย บทดราฟต์แรกที่ทั้งสองเขียนยังไม่ถูกใจโปรดิวเซอร์อย่างเจอรี่ บรัคไฮเมอร์ และดอน ซิมป์สัน ต้องแก้แล้วแก้อีกหลายรอบจนออกมาเป็นที่พอใจ
หลังจากที่วางตัวผู้กำกับให้เป็น โทนี่ สกอตต์ แต่สำหรับบทพระเอก มาเวอริค นั้นมีหลายคนที่ถูกทาบทาม ไล่มาตั้งแต่แพทริก สเวย์ซีย์, เอมิลิโอ เอสเตเวซ, นิโคลัส เคจ, จอห์น คูแซค, แมทธิว บรอเดอริค, ฌอน เพนน์, ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ จนถึงทอม แฮงค์ส แต่ทุกคนปฏิเสธบทนี้ คนที่ใกล้ความจริงที่สุดคือแมทธิว โมดีน แต่สุดท้ายก็บอกปัดเนื่องจากมีเรื่องราวการเมืองแทรกอยู่ในหนัง ส้มมาหล่นที่ ทอม ครูซ ดาราหนุ่มหน้าใหม่ในตอนนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักจากหนัง Risky Business (1983) และเคยเล่นหนังเรื่อง Legend (1985) ของริดลีย์ สก็อตต์ ซึ่งแนะนำให้น้องชายโทนี่ได้รู้จักกับครูซ และได้บทนี้ไปในที่สุด ขณะที่บทนำหญิง ชาร์ลี แบล็ควู้ด นั้นมีตัวเก็งอย่างอัลลี ชีดี้ แต่เธอบอกปัดเพราะคิดว่าหนังน่าจะแป๊ก บทนี้เลยตกไปที่เคลลี แมคกิลส์ ที่ถือว่าเป็นหน้าใหม่เหมือนกันในเวลานั้น ความตลกก็คือทุกครั้งที่เข้าฉากพระนาง แมคกิลส์ที่สูงกว่าครูซถึง 7 เซนติเมตรต้องถอดรองเท้า และครูซต้องสวมบู๊ทเสริมส้นเพื่อเพิ่มความสูง
ด้วยความที่ Top Gun มีเรื่องราวเกี่ยวกับทหารในกระทรวงกลาโหม เพนตากอนจึงยอมให้ใช้เครื่องบินและเรือบรรทุกเครื่องบินมาใช้ถ่ายเข้าฉากหลายลำ โดยคิดค่าเช่าทั้งหมดเพียง 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีข้อแม้ว่าต้องส่งบทหนังให้ตรวจก่อน เพื่อให้แน่ใจว่านำเสนอเรื่องราวของกองทัพออกมาในทางบวก สุดท้ายมีการขอให้เปลี่ยนบทให้กูส (แอนโธนี เอ็ดเวิร์ส) เสียชีวิตเพราะปุ่มดีดตัวนักบินไม่ทำงาน แทนที่จะเป็นการขับเครื่องบินชนกันกลางอากาศอย่างในบทตอนแรก
การถ่ายทำเป็นไปด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากหลายครั้งที่นักแสดงต้องเข้าฉากขับเครื่องบินในอากาศจริงๆ ทอม ครูซ ได้ขับ F-14 Tomcat อยู่สามครั้งและอาเจียนในครั้งแรก เช่นเดียวกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ชินกับการนั่งเครื่องบินรบในอากาศ ส่วนผู้กำกับ โทนี่ สก็อตต์ ก็โดนไล่ออกกลางกองถ่ายถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีสาเหตุมาจากสตูดิโอบอกว่าสก็อตต์ทำให้นางเอก เคลลี แมคกิลส์ ดูเหมือนสาวขายบริการ และหลังจากที่หนังปิดกล้องเรียบร้อยไป 5 เดือน ในรอบทดลองฉายของสตูดิโอ คนดูส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าควรจะมีฉากเลิฟซีนด้วย โปรดิวเซอร์ต้องเรียกตัวครูซและแมคกิลส์กลับมาถ่ายฉากทั้งคู่อ้อล้อกันในลิฟต์ รวมถึงฉากเลิฟซีนบนเตียงประกอบเพลง “Take My Breath Away” ของวงเบอร์ลิน
หลังหนังออกฉาย แม้นักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะรุมสับว่าเป็นหนังที่ ‘แย่’ แต่ Top Gun กลายเป็นหนังสุดฮิตและทำเงินสูงสุดในปี 1986 โดยทำรายได้ในอเมริกาถึง 176 ล้านเหรียญ และทั่วโลกอีก 177 ล้านเหรียญ รวมทั้งสิ้น 353 ล้านเหรียญ นอกจากโปรดิวเซอร์และผู้กำกับจะได้หน้าจนขึ้นหิ้งในสตูดิโอไปแล้ว คนที่ได้อานิสงส์จากงานนี้ไปมากที่สุดคือพระเอกทอม ครูซ ที่ขึ้นแท่นซูเปอร์สตาร์ไปในทันที (เขาได้ค่าตัว 1 ล้านเหรียญจากหนังเรื่องนี้) นอกจากนั้น ซาวน์แทร็ก Top Gun ที่มีเพลงดังอย่าง “Danger Zone” ของเคนนี ล็อกกินส์ และ “Take My Breath Away” ของเบอร์ลิน ซึ่งเพลงหลังได้รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ก็กลายเป็นอัลบั้มซาวน์แทร็กที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ด และขายได้กว่า 10 ล้านก๊อปปี้
อีกส่วนที่ได้ผลบุญจากหนัง Top Gun ก็คือแว่นกันแดดเรย์แบนรุ่น Ray-Ban Aviator ที่ทอม ครูซ สวมในเรื่องก็ทำให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นถึง 40% ภายใน 7 เดือนหลังจากหนังฉาย และเป็นเรื่องบังเอิญที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปีทอม ครูซ ก็เพิ่งจะทำให้แว่นเรย์แบนรุ่น Wayfarer ที่เขาใส่ในหนัง Risky Business ขายดีเพิ่มขึ้น 50% ภายใน 1 ปีเช่นกัน
เมื่อปี 2010 มีการเริ่มพูดคุยกันถึงโปรเจ็กต์ภาคต่อของ Top Gun แต่หลังจากการเสียชีวิตของโทนี่ สก็อตต์ ในปี 2012 ทุกอย่างก็เริ่มนิ่ง กระทั่งในปี 2014 มือเขียนบท จัสติน มาร์คส์ ได้ออกมาบอกว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างเขียนบทหนัง และในปี 2017 ทอม ครูซ ก็คอนเฟิร์มว่าภาคต่อของ Top Gun จะเริ่มถ่ายทำในปี 2018 ในชื่อ Top Gun: Maverick โดยมีผู้กำกับเป็น โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยร่วมงานกับครูซใน Oblivion และวางกำหนดฉายไว้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2019 ... ก็ไม่รู้ว่าครูซในวัย 55 ปี จะมีกำลังวังชาพอที่จะเหินฟ้าได้เหมือนเมื่อ 30 ปีก่อนไหม