ค้นหาหนัง

The Terminator | ฅนเหล็ก 1 2029

The Terminator | ฅนเหล็ก 1 2029
เรื่องย่อ : The Terminator | ฅนเหล็ก 1 2029

ส่งกลับจากยุคดิสโทเปียปี 2029 ที่ซึ่งเครื่องจักรเย็นได้ยึดครองโลกทั้งใบ จนถึงปี 1984 ลอสแองเจลิส มือสังหารไซบอร์กผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่รู้จักกันในชื่อ "เทอร์มิเนเตอร์" เริ่มภารกิจสุดอันตรายเพื่อสังหารผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ นั่นคือ ซาราห์ คอนเนอร์ผู้ไม่สงสัย . อย่างไรก็ตาม จากอนาคตหลังวันสิ้นโลกที่ฉีกขาดจากสงครามแบบเดียวกัน กองหลังที่มีรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ไคล์ รีส ทหารผู้กล้าหาญของกองทัพต่อต้านมนุษย์ ตั้งใจที่จะหยุดยั้งนักฆ่าไซเบอร์เนติกจากการขจัดความหวังสุดท้ายของโลก แต่เทอร์มิเนเตอร์ไม่มีความรู้สึก เขาไม่หลับ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะทำงานที่น่ากลัวของเขา อนาคตของเราอยู่ในอดีตของเราหรือไม่?

IMDB : tt0088247

คะแนน : 9



ผมแน่ใจว่าผู้กำกับส่วนใหญ่เวลาตั้งใจทำหนังสักเรื่องหนึ่งขึ้นมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานชิ้นแรกๆ ที่เขาหมายมั่นให้มันเป็นงานชิ้นแจ้งเกิด) เขาย่อมทุ่มเทแบบเต็มพิกัด เพื่อให้งานออกมาดี เป็นที่ยอมรับ และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในตำนานของฮอลลีวู้ด

และหลายคนก็ทำสำเร็จครับ… สำเร็จในระดับที่เจ้าตัวเองก็แทบไม่เชื่อว่ามันจะโด่งดังและได้รับความนิยมจวบจนปัจจุบัน

อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน แม้ James Cameron จะมั่นใจในผลงานแค่ไหน แต่คงคาดไม่ถึงว่าผลงานตัวเองจะดังนาน เป็นที่กล่าวขาน และสร้างตอนต่อได้แม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 25 ปี

นานขนาดนี้ นอกจากไม่มีคนลืม แล้วยังมีคนปลุกขึ้นมาสร้างใหม่ ไม่เรียกว่าตำนานก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

จุดเริ่มแห่งตำนานฅนเหล็กก็ต้องย้อนไปเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตอนที่ Cameron ยังเป็นเพียงผู้กำกับมือใหม่ โนเนม และโดนผู้อำนวยการสร้างเอาเปรียบเป็นประจำ

Cameron มีประสบการณ์อันเลวร้ายในกองถ่าย Piranha Part Two: The Spawning ที่เขาถูกทาบทามให้ไปนั่งเก้าอี้กำกับเป็นครั้งแรก แต่ทำงานแค่อาทิตย์เดียวก็โดนเฉ่งออกมา เนื่องจากไม่ยอมตามใจ Ovidio G. Assonitis ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนั้นที่ตั้งใจจะให้คาเมรอนมีทำหน้าที่เป็นร่างทรงทำตามคำสั่งเขาเป็นหลัก

พอ Cameron ทนไม่ไหวก็ถึงขึ้นมีเรื่องจนต้องออกจากกองถ่าย แล้วเขาก็ห่างหายการกำกับไปเลยครับ หันไปทำหน้าที่ผู้ช่วยกำกับแล้วก็ที่ปรึกษากองถ่ายแทน ซึ่งระหว่างที่เขาทำงานสร้างหนังเรื่อง Android (1982) ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะครับว่าเกี่ยวกับหุ่นยนต์แน่นอน ระหว่างนั้นเองเขาก็ได้ไอเดียจากซีรี่ส์จบในตอน แนว The Twilight Zone ที่ชื่อ The Outer Limits ตอน Soldier และ Demon in the Glass Hand ซึ่งสร้างจากเรื่องของ Harlan Ellison อีกที พอทุกอย่างอยู่ตัวในสมองของเขา จินตนาการก็เริ่มแล่นครับ เขาเห็นภาพหุ่นยนต์เหล็กที่มีโครงร่างเหมือนกายวิภาคของมนุษย์ กำลังเดินออกมาจากกองไฟที่กำลังลุกท่วม…

วินาทีนั้น Cameron รู้ว่าเขาได้พล็อตสำหรับหนังเรื่องต่อไปแล้ว เขาจึงนั่งคิดต่อยอดว่าเรื่องควรจะเป็นอย่างไรต่อ ก็นั่งไล่นึกทีละสเต็ปเลยนะครับ ว่าเจ้าหุ่นนั่นควรมาจากไหน… มันแกร่งและขึ้นมาจากกองไฟได้และรูปลักษณ์เหมือนคน เพียงแต่ไม่มีผิวหนัง… มันควรจะมาจากอนาคตอย่างแน่นอน แล้ว Cameron ก็ถามตัวเองว่าเขาอยากทำหนังอนาคตหรือเปล่า… คำตอบคือไม่ครับ เขาอยากให้เรื่องราวมันเกิดในยุคปัจจุบัน

… แล้วหุ่นไฮเทคขนาดนั้นมันจะมีตัวตนในโลกปัจจุบันได้อย่างไร… คิดไปคิดมาก็ยูเรก้าขึ้นมา… ก็ให้มันเป็นหุ่นจากอนาคตที่ย้อนเวลามาสู่โลกในยุคปัจจุบันยังไงล่ะ!

เมื่อไอเดียบังเกิด Cameron ไม่รอช้าที่จะปั่นเรื่องราวเขียนบทในทันที ออกมาเป็นเรื่องราวในปี 2029 เมื่อหุ่นยนต์ได้พัฒนาตนเองจนสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป มันจึงคิดทำลายมนุษยชาติให้สิ้นซาก

แต่ยังดีที่ฝ่ายมนุษย์เราก็มีผู้นำที่ชาญฉลาดอย่าง จอห์น คอนเนอร์ คอยวางแผนรับมือ ยืนหยัดจัดการพวกหุ่นยนต์ และคอยปกป้องมนุษย์ที่เหลืออยู่ให้มีชีวิตต่อไปได้ แต่ทีนี้ฝ่ายหุ่นก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่นครับ มันวางแผนใช้หุ่นยนต์รุ่น T-800 ข้ามเวลาไปในอดีตเพื่อฆ่าแม่ของจอห์น คอนเนอร์ซะ เท่านี้ฝ่ายมนุษย์ก็จะไร้ผู้นำ และพวกหุ่นก็จะสามารถครอบครองโลกทั้งใบได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อจอห์น คอนเนอร์ ล่วงรู้ถึงแผนเขาก็ไม่นิ่งเฉย ได้จัดการส่งชายชื่อไคล์ รีส นายทหารแถวหน้ามากฝีมือย้อนเวลาไปช่วยซาร่าห์ คอนเนอร์ แม่ของจอห์นให้รอดพ้นจากภัยครั้งนี้

พอบทหนังเสร็จ Cameron ก็ไม่รอช้าที่จะนำมันตระเวนออกขายหานายทุน ซึ่งหลายเจ้าพากันสนใจ เชื่อว่าเรื่องราวแบบนี้ต้องประสบความสำเร็จ เป็นที่นิยม ตอนแรกก็ตกลงครับ แต่แล้วทุกเจ้าที่ Cameron ไปหาก็พากันเอ่ยปากปฏิเสธทันทีที่เขายื่นข้อเสนอแบบแพ็คคู่ไปว่า “ถ้าซื้อบทของผม ต้องให้ผมกำกับหนังเรื่องนี้นะครับ” ซึ่งแต่ละสตูดิโอยังไม่มั่นใจฝีมือของ Cameron ยิ่งผลงานก่อนหน้านี้คือหนังห่วยแห่งปีเรื่อง Piranha Part Two: The Spawning ด้วยแล้ว ยิ่งถอยหนีไปกันใหญ่ แม้ Cameron จะอธิบายว่าพี่แกไม่ได้กำกับหนังเรื่องนั้นด้วยซ้ำก็เถอะ แต่ทำไงได้ครับ ก็ Assonitis ผู้สร้างหนังปลาปิรันย่านั่นน่ะเกิดไม่มั่นใจในศักยภาพของหนัง ก็เลยโยนชื่อเสียไปให้ Cameron โดยการใส่ชื่อพี่ Cameron ลงในเครดิตเป็นผู้กำกับแทน คนที่ไม่รู้เลยพากันไม่ยอมใช้บริการพี่แกกันใหญ่ โธ่ น่าสงสารจริงๆ นะครับ

แต่คนสู้อย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังเดินหน้าหานายทุนพร้อมเสนอแพ็คคู่ ขายบท+ กำกับไปจนทั่ว แล้วก็มาถึง เฮมเดล พิคเจอร์ส พร้อมกับพบว่าที่ภรรยาของเขา Gale Anne Hurd หญิงเหล็กแห่งวงการหนัง ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างพอดี พอเจรจากันไปมา Hurd เองก็เหมือนผู้สร้างเจ้าอื่นๆ ที่ยังไม่มั่นใจในตัว Cameron เหมือนกันสำหรับหน้าที่กำกับ เธอเลยเสนอแบบหักดิบวัดใจกันไปเลยว่า “ฉันจะให้คุณกำกับหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณยอมขายบทหนังให้ฉันในราคา $1 ดอลล่าร์”

ดูเผินๆ อาจเหมือนว่า คุณ Hurd นี่ใจดำเอาเปรียบดีแท้ เสนอมาได้ค่าบทแค่เหรียญเดียว แต่มันเป็นการทดสอบครับว่า Cameron ยอมทุ่มเทเพื่อการกำกับแค่ไหน และหากเขามั่นใจในบทที่ตัวเองเขียนล่ะก็ การขายแบบไปแค่เหรียญเดียวย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะหากเขามั่นใจว่าทำได้ดีจริงๆ พอหนังประสบความสำเร็จเขาก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาแบบคุ้มค่าเอง… และ Cameron ตอบตกลงครับ

การสร้าง The Terminator ก็เริ่มต้นโดยมี Hurd อำนวยการสร้าง แล้วได้บริษัท เฮมเดลออกทุน กับได้โอไรออน พิคเจอร์สเป็นผู้จัดจำหน่าย จุดสำคัญอย่างแรกคือการหาคนมารับบทเป็น ฅนเหล็ก เทอร์มิเนเตอร์ ซึ่งในตอนแรกนั้น Cameron ได้วาดภาพฅนเหล็กตนนี้ไว้ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่มีพิษไม่มีภัย ดูเป็นคนดีด้วยซ้ำ ส่วนคนที่มารับบทไคล์ รีส ผู้พิทักษ์ฝ่ายดีจากอนาคตนั้น ก็จะให้เป็นหนุ่มร่างกำยำล่ำสัน บึ้กและดูเถื่อนนิดๆ เพื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกขัดแย้ง หักมุมแบบเล็กๆ ในใจ ว่าคนดูดีดันมีแต่พิษภัย ส่วนคนดูอันตรายกลับกลายเป็นคนดีเสียอย่างนั้น

ตัวเลือกแรกๆ สำหรับบทฅนเหล็ก จึงได้แก่ Lance Henriksen, O.J. Simpson, Jürgen Prochnow แล้วก็ Mel Gibson ครับ แต่รายหลังสุดบอกปฏิเสธก่อนเพื่อน ส่วน O.J. Simpson นั้น ผู้สร้างพากันบอกว่าเขาไม่เหมาะกับบท เพราะเขาดูเป็นคนดีเกินไป ไม่น่าจะรับบทฆาตกรโหดเลือดเย็นได้ (แล้วหลายปีต่อมา เขาก็ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าภรรยาตัวเองครับ) ไปๆ มาๆ คนที่ได้บทไปคือ Henriksen นั่นเอง

ต่อมาก็คือการคัดตัวคนมารับบท ไคล์ รีส ซึ่ง Arnold Schwarzenegger มาวินเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง

แต่ระหว่างการคัดตัวนั้นเอง Cameron กับ พี่บึ้ก Arnold ได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน โดยพี่บึ้กของเราเห็นว่าการสร้างให้ฅนเหล็กมีคาแร็คเตอร์เป็นนักทำลาย มีรูปลักษณ์ใหญ่โตตรงกับความโหดเหี้ยมที่มีนั้นน่าจะส่งผลดีกับหนังมากกว่า เพราะมันจะเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้เลย โดยไม่ต้องมาขัดแย้งให้เสียเส้น คุยไปคุยมา Cameron ก็เห็นด้วยครับ และคิดว่าพี่บึ้กแกเหมาะกับบทฅนเหล็กมากกว่าเหมือนกัน เลยมีการสลับสับเปลี่ยนเกิดขึ้น สุดท้ายฅนเหล็กเลยกลายเป็นคนบึ้กๆ ล่ำๆ มีกล้ามเป็นมัดๆ มารับบทไป ส่วนบทไคล์ รีสก็ต้องหารายใหม่ เพราะ Henriksen นั้นดูสูงอายุกว่า พี่ Arnold มากครับ ดังนั้นถ้าเอาพระเอกแก่มาตีกับผู้ร้ายหนุ่มซ้ำยังเป็นยักษ์อีก เดี๋ยวคนดูจะหมดอารมณ์ลุ้น เพราะ พี่ Henriksen แกไม่น่าจะชนะ พี่ Arnold ได้อยู่แล้วล่ะ

อีกอย่างคือตามบทนั้น บทไคล์ รีส จะต้องมีวาระโรแมนติกกับซาร่าห์ คอนเนอร์ด้วย ดังนั้นเพื่อความเหมาะจึงต้องลดอายุคนเล่นเป็นริสลงมา แล้วก็ได้เป็น Michael Biehn ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับบทฅนเหล็กในตอนแรกๆ เหมือนกันครับ ทีนี้พอมีความเปลี่ยนแปลง Cameron เลยมามองตัวเลือกเดิมใหม่อีกที จนได้ Biehn ที่มีรูปลักษณ์เหมาะสมมาเป็นรีสไปในที่สุด ส่วน Henriksen ก็ไม่ได้หายไปไหนครับ ยังแสดงอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฮัล วูโควิช ผู้ที่ตามสืบคดีคนตามฆ่าซาร่าห์ คอนเนอร์

ส่วนบทซาร่าห์ก็มีการแข่งกันนิดๆ ครับ ตัวเลือกได้แก่ Linda Hamilton, Jennifer Jason Leigh และ Rosanna Arquette และคนที่เข้าวินคือ Hamilton ครับ เพราะ Cameron รู้สึกประทับใจเธอเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตัวเธอนั้นยังดูเป็นสาวที่มีทั้งพลังและความอ่อนแอเจือปนอยู่ในตัว ซึ่งเหมาะกับคาแร็คเตอร์ ซาร่าห์ ที่จะดูเป็นหญิงอ่อนแอทั่วไปในตอนต้น ก่อนจะกลายมาเป็นแม่ของผู้นำมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

หนังวางแผนว่าจะถ่ายทำตั้งแต่ช่วงใบไม้ผลิปี 1983 แต่พอดีที่ พี่บึ้ก Arnold แกติดสัญญาต้องรับบทนำใน โคแนน ถล่มวิหารเทพเจ้า หรือ Conan the Destroyer อันเป็นภาคต่อของ Conan the Barbarian เลยต้องไปถ่ายเรื่องนั้นก่อน ระหว่างนั้นคิวก็ล่าไปหลายเดือน แต่ Cameron ก็ไม่ปล่อยเวลาเสียเปล่านะครับ เขาได้เขียนบทหนังขึ้นมาอีกเรื่องซึ่งตั้งใจว่าจะทำต่อหลังจาก The Terminator… เรื่อง Aliens นั่นเอง

ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มถ่ายก็มีการเกลาบทอีกนิดหน่อย โดย Hurd และ William Wisher ได้ช่วยเหลือในการเกลาด้วย มีการตัดเอาส่วนที่คิดว่าจะทำให้หนังรุงรังออกไป เช่น การกำหนดให้ฅนเหล็กต้องบริโภคเนื้อมนุษย์เป็นแหล่งพลังงานในการดำรงชีพ ซึ่งแบบนั้นมันออกแนวสยองขวัญเกินไป หรือการใคร่ครวญกันว่าจะให้มีทหารจากอนาคตถูกส่งมาช่วยซาร่าห์สักสองคนดีหรือไม่ จะได้พอสู้กับฅนเหล็กได้ แต่สุดท้ายก็ยืนพื้นที่คนเดียว

หนังเริ่มถ่ายทำช่วงเดือนมีนาคม ปี 1984 ซึ่งความสัมพันธ์ในกองถ่ายนั้นจัดว่าเป็นไปด้วยดี Cameron ซี้กับ พี่บึ้ก Arnold, Biehn, Hamilton, Henriksen และ Hurd แม้แต่คนที่รับบทสมทบเล็กๆ อย่าง Bill Paxton ก็ยังคุยดีรักษาน้ำใจต่อกันครับ อันนี้ดูจากการร่วมงานก็ได้ พอจบเรื่องนี้พวกเขายังตามไปร่วมงานอีกตั้งหลายเรื่อง

แล้วยังมีเรื่องฮาๆ ในกองอีกต่างหาก อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างพักการถ่ายทำ พี่บึ้ก Arnold ก็ขอออกมาหาอะไรทานกลางวัน แถวๆ ดาวน์ทาวน์ ในแอลเอ ซึ่งระหว่างเดินหาร้านทานอาหารนั้นคนทั่วไปก็พากันตะลึงพรึงเพริดพี่แกเป็นการใหญ่ พี่บึ้กก็ค่อยมาเอะใจทีพลัง… เขาเดินออกจากกองถ่ายทั้งๆ ที่หน้ายังเต็มไปด้วยเมคอัพครับ เมคอัพวันนั้นเป็นฉากที่ฅนเหล็กหน้าเริ่มชำรุด เหลือตาข้างเดียว และกรามกับแก้มก็มีชิ้นเหล็กปูดโปนออกมา… เจอแบบนี้เดินแถวกรุงเทพผมก็วิ่งเหมือนกันล่ะครับ ซึ่งเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องอำกันไปพักหนึ่ง

ทว่าสัมพันธภาพระหว่าง Cameron กับผู้สร้างเบื้องบนนั้นต้องใช้คำว่า “เลวร้าย” เลยล่ะครับ โดยเฉพาะกับ John Daly โต้โผใหญ่ของบริษัทเฮมเดล ที่พยายามยื่นมือเข้ามากำหนดบทหนังให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ (Cameron คงเซ็งน่าดูล่ะครับ ทำงานยุคแรกเจอแต่ผู้สร้างเอาแต่ใจทั้งนั้นเลย) และความขัดแย้งที่หนักที่สุดคือตอนถ่ายทำเสร็จแล้ว ซึ่งผู้ที่เคยชมหนัง The Terminator มาแล้วคงทราบดีว่ามันสนุกแค่ไหน โดยเฉพาะตอนท้ายกับฉากไคลแม็กซ์ที่ไล่ล่าต่อสู้กันแบบยาวสะใจ จากการไล่ล่าทางรถ แล้วก็มาบู๊กันต่อในโรงงาน กว่าจะจบเรื่องได้เล่นเอาเหนื่อยหอบ แต่จู่ๆ Daly กับ Mike Medavoy ผู้บริหารโอไรออน เกิดแท็คทีมกันสั่งลงมา ให้ คาเมรอน จบเรื่องลงแค่ตอนที่ไล่ล่าทางรถพอ กล่าวคือ เขาจะให้เจ้าฅนเหล็กตัวร้ายตายเพราะรถระเบิด แล้วก็จบ!

ที่ทำให้คาเมรอนของขึ้นมากๆ ก็เพราะไคลแม็กซ์มันๆ ในโรงงานเหล็กนั่นเขาถ่ายไปแล้ว ทำออกมาดีด้วย แต่ Daly ต้องการให้ตัดออกทั้งหมด แล้วก็ทำลายฟิล์มทิ้งไปซะด้วย โดยให้เหตุผลว่า “เรื่องมันควรจบที่ฉากรถระเบิดก็พอน่า ไม่ต้องยืดเยื้อหรอก” (จนคนในกองถ่ายเริ่มเอะใจว่า Daly จงใจแก้แค้นอะไรหรือเปล่ากันแน่) แต่ Cameron ก็ไม่ยอมครับ ถึงกับขึ้นคำว่า “F-ck you!” เลยทีเดียว

ฟังแล้วก็เหนื่อยแทน Cameron ครับ กว่าจะได้งานฅนเหล็ก พี่แกนี่แหละที่จะได้เป็นฅนเหล็กตัวจริง เพราะปะฉะดะ ฟัดกับผู้สร้างแบบเต็มที่เพื่อรักษาสิทธิ์ในฐานะผู้กำกับของตัวเอง แล้วยังเกือบโดนฟ้องด้วยนะครับ คนฟ้องก็ไม่ใช่ใคร เขาคือ Harlan Ellison เจ้าของเรื่องที่ Cameron ไปได้ไอเดียมานั่นเอง Ellison ไม่สบอารมณ์เท่าไรที่ Cameron เอาแนวคิดจากพล็อตของเขาไปทำโดยไม่บอกกล่าว และที่หนักสุดคือดันมีพล็อตเกี่ยวกับ บริษัท สกายเน็ต (บริษัทที่เริ่มต้นผลิตหุ่นยนต์เรืองปัญญา ที่ต่อมาด้วยปัญญาและความสามารถของมัน มันเลยตัดสินใจล้างผลาญพันธุ์มนุษย์เพื่อครองโลกแทน) ซึ่งมีชื่อบริษัทนี้เต็มๆ ในงานของ Ellison เลยติดต่อว่าจะฟ้องเฮมเดลกับโอไรออน จนทางนี้ต้องยอมอ่อนข้อ โดยการใส่เครดิตชื่อ Ellison ลงในฐานะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจสำหรับบทภาพยนตร์… แล้วเรื่องก็ยุติไป

ส่วนผลลัพธ์ของหนังก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง ลงทุนไปประมาณ $6.4 ล้าน สามารถทำรายได้เฉพาะในอเมริกาก็ $38.3 ล้าน ไหนจะรายได้นอกมะกันอีก $40 ล้าน กับกำไรมหาศาลตอนออกเป็นวีดีโอ และขายสิทธิ์สำหรับฉายทางทีวีอีก เล่นเอา Daly กับพวกที่งัดข้อกับ Cameron หน้าเหลอไปตามๆ กัน ด้านคำชมก็สวยงามครับ นิตยสาร Time ยกให้เป็นหนังยอดเยี่ยมติด Top 10 ประจำปี 1984 และได้ขึ้นทำเนียบหนึ่งใน 100 หนังยอดเยี่ยมตลอดกาลตามเว็บไซต์ต่างๆ จนปัจจุบัน

ถ้าจะถามว่าอะไรคือความเยี่ยมของ The Terminator ก็บอกได้เลยครับว่าคือ ความสดใหม่สำหรับสมัยนั้น เรื่องหุ่นยนต์มาจากโลกอนาคต แล้วก็ไล่ล่ามนุษย์จัดว่าเป็นการผสมหนังไซไฟเข้ากับแนวแอ็กชันระทึกขวัญได้อย่างพอเหมาะยิ่ง อย่างที่ผมเคยบอกเมื่อตอน Retro เกี่ยวกับหนังไซไฟครับ ว่าเรื่องนี้เป็นหัวหอกที่สร้างกระแสฅนเหล็กฟีเวอร์ไปทั่ว วงการหนังทั้งเกรดเอและบีพากันสร้างหนังว่าด้วยหุ่นกับโลกอนาคตออกมาเป็นพรวน ซึ่งตัวหนังเองก็จัดว่าครบเครื่อง ได้ทั้งความมันส์ สนุก สะใจ แล้วก็มีเนื้อหาที่ซับซ้อนผสมจินตนาการ ไหนจะเทคนิคพิเศษที่ถือว่าทำได้เนียน คุ้มเงิน $6.4 ล้านจริงๆ โดยเฉพาะตอนท้ายที่ฅนเหล็กเหลือแต่เหล็กจริงๆ นั่น ทั้งน่าขนลุกและน่าทึ่งครับ ออกแบบมาได้ดีและดูมีชีวิตเหมือนจริงเหลือเกิน

นอกจากนี้หนังยังจัดเป็นแนวทำนายหายนะโลกว่าในอนาคตมนุษย์จะต้องเผชิญกับภัยล้างเผ่าพันธุ์รูปแบบไหน สำหรับ Cameron เขาได้มองเห็นโลกที่ถูกทำลายโดยสงครามนิวเคลียร์และจักรกล… เขาเห็นมนุษย์ถูกทำลายล้าง ด้วยสิ่งที่มนุษย์ก่อร่างสร้างมากับมือ… ในมุมหนึ่งมันอาจดูเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินจริง และเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่านวัตกรรมที่ประดิษฐ์โดยมนุษย์หลายอย่าง มันมีส่วนให้โลกเราก้าวเข้าสู่จุดวิกฤติมากขึ้นทุกที… เครื่องทำความเย็นทั้งหลาย หรือแม้แต่สเปรย์ก็มีส่วนทำให้โลกเราร้อนขึ้น, รถยนต์ทรงประโยชน์ก็มอบความสะดวกในการเดินทาง มาพร้อมๆ กับสารพิษที่ฆ่าเราได้อย่างช้าๆ หรือ ระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างโดยคนก็กลายเป็นสิ่งที่คนใช้มาฆ่ากันเอง การพัฒนาความสบายโดยสร้างจักรกลอำนวยความสะดวกสารพัดนั้น มันก็ได้ทิ้งร่องรอยแห่งยาพิษเอาไว้ในกับมนุษย์เสมอ… กว่าเราจะเห็นก็แทบจะสายเกินไปซะแล้ว

แล้วเขาก็ทำได้ครับ สร้างปฐมบทแห่งเรื่องราวฅนเหล็กไว้ประดับวงการภาพยนตร์จนเป็นที่กล่าวขานถึงปัจจุบัน แต่หากจะบอกว่า The Terminator ยังไม่ใช่ยอดผลงานในชีวิตของCameron ก็คงไม่ผิดอะไร เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่สามารถทำตอนต่อของหนังที่ดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในเรื่องเทคนิคและเนื้อหา… ครับ เราจะพูดถึงเรื่องของ Terminator 2: Judgment Day ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการสเปเชียล เอฟเฟกต์ และหนังแอ็กชันที่ดูกี่ทีก็ถือได้ว่ามันส์ แล้วยังต่อยอดความคิด วิสัยทัศน์จากภาคแรกได้อย่างน่าสนใจยิ่ง… ครับ คงต้องยกยอดไปครั้งหน้า…