ค้นหาหนัง

The Rainmaker | หักเขี้ยวเสือ

หมวดหมู่ : หนังดราม่า
The Rainmaker | หักเขี้ยวเสือ
เรื่องย่อ : The Rainmaker | หักเขี้ยวเสือ

เรื่องราวของ รูดี้ เบย์เลอร์ ทนายความหนุ่มไฟแรงผู้มีอุดมคติตั้งมั่นต้องการที่จะสร้างความแตกต่างในระบบยุติธรรม เขาอาสาว่าความคดีใหญ่คดีหนึ่งให้กับคู่สามีภรรยาสูงอายุ ที่ถูกบริษัทประกันทุจริตและปฏิเสธที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทน สำหรับการปลูกถ่ายกระดูกเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแก่ลูกของพวกเขา โดยทนายฝ่ายตรงข้ามเป็นทีมทนายเหลี่ยมจัด ที่พร้อมจะกำจัดเหยื่อที่อ่อนหัดเช่น รูดี้ ส่วนทีมทนายผู้ช่วยของรูดี้มีเพียงแค่เพื่อนทนายความที่ไม่เคยสอบผ่านใบประกาศเลยเป็นผู้คอยชี้นำ โอกาสชนะคดีของเขาแทบเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งเขาเปิดโปงกลโกงทุจริตที่จะสามารถทำให้เขาเป็นผู้ชนะคดีในครั้งนี้

IMDB : tt0119978

คะแนน : 9



The Rainmaker เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมดูไปหลายรอบเหมือนกันครับ ว่าตามจริงตัวหนังอาจเดินเรื่องอืดช้าบ้างในบางช่วง แต่โดยรวมแล้วหนังมีจุดที่ทำให้ผมชอบมากกว่าจะทำให้ผมเบื่อ

ตัวเอกคือรูดี้ เบย์เลอร์ (Matt Damon) ทนายหน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งการว่าความ มันคือโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน, การโกหก และการเอาตัวรอด

คดีแรกที่เขาได้ทำแบบเต็มตัวคือคดีฟ้องบริษัทประกันที่ปฏิเสธจะจ่ายเงินให้กับผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาต้องเจอกับทนายโคตรเขี้ยวสายดำอย่างลีโอ ดรัมมอนด์ (Jon Voight) ที่พยายามเอาชนะคดีในทุกวิถีทางไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม

ถ้าถามว่าชอบอะไรในหนัง อย่างแรกคือทัพดาราที่ยกกันมาแบบจุใจตอหนังยุค 90 อย่างผม ไม่ว่าจะ Damon, Voight, Danny DeVito, Claire Danes, Dean Stockwell, Teresa Wright, Mickey Rourke, Roy Scheider และ Danny Glover (ที่โดดมาเล่นหนังเรื่องนี้แบบไม่เอาเครดิต)

ดาราแต่ละคนก็แสดงกันได้ดีครับ หนังเพลินมากก็เพราะพลังดารานี่แหละ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าการเดินเรื่องอาจช้าไปบ้าง ยิ่งหนังยาวกว่า 2 ชั่วโมง 10 นาทีก็อาจไม่เหมาะสำหรับคอหนังที่ต้องการอะไรฉับไว แต่หากใครชอบหนังดราม่าว่าความในศาลก็น่าจะโอเคอยู่ครับ (เพียงแต่ฉากว่าความอาจไม่ได้เร้าใจหรือลุ้นเท่า A Time to Kill เท่านั้นเอง)

ว่ากันว่า John Grisham ชอบหนังเรื่องนี้ที่สุดในบรรดาหนังที่ดัดแปลงจากงานของเขา ส่วนหนึ่งเพราะหนังซื่อสัตย์ต่อบทประพันธ์มากอยู่ครับ แม้บางสิ่งจะมีการดัดแปลงไป แต่แก่นแกนของเรื่องยังคงอยู่ – อันนำมาสู่อีกจุดที่ผมชอบคือหนังมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะตัวละคร, สถานที่, เรื่องคดี หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดแทรกขึ้นมาเป็นระยะจนทำให้รู้สึกถึงความ “จริง” ทางอารมณ์ในหลายวาระ

และว่ากันว่าเหตุผลที่ Francis Ford Coppola จับหนังสือเล่มนี้มาทำนั้น ก็เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเขาเกิดอยากรู้ครับว่าทำไมหนังสือของ Grisham ถึงดังนักดังหนา (ตอนนั้นเขายังไม่เคยอ่านงานของ Grisham เลย) เลยซื้อหนังสือของ Grisham มาอ่านระหว่างนั่งบนเครื่องบิน ปรากฏว่าอ่านแล้วติดครับ Coppola อ่านแบบต่อเนื่องตั้งเครื่องบินขึ้นจนเครื่องบินถึงที่หมาย และตอนนั้นเองเขาก็ตระหนักครับว่างานของ Grisham สามารถจับความสนใจคนอ่านได้อย่างดี และเขาก็ตัดสินใจเลยว่าเขาจะต้องทำหนังที่ดัดแปลงจากงานของ Grisham ให้ได้ – แล้วก็ออกมาเป็นเรื่องนี้ครับ

หนังสะท้อนให้เราเห็นว่าโลกนี้มีคนใช้กฎหมายหลายแบบหลากมิติ ใช้เพื่อช่วยเหลือคนก็มี ใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ก็มี – คนที่พลิกตำราเพื่อทวงความเป็นธรรมก็มี หรือบางคนก็พลิกลิ้นคว่ำตำราเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะก็มี และบางครั้งนิยามของคำว่า “ความยุติธรรม” ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ฝั่งไหนของคดี

และหนังยังสะท้อนให้เราเห็นว่าหนึ่งชีวิตของคนนั้นมีหลายด้านให้จัดการและบาลานซ์ครับ อย่างรูดี้เองแม้เรื่องหลักๆ ของเขาคือการทำงานทำคดี แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องหาเลี้ยงชีพให้อยู่รอดด้วย ไหนจะเรื่องส่วนตัวอย่างความรักอีก มันก็ทำให้ตระหนักครับว่าชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นบางครั้งก็ไม่ง่าย ยิ่งตอนที่เรื่องอะไรๆ มันมาประดังกันรอบตัวจนไม่รู้จะจัดการยังไงนั่นยิ่งหนักเลย ใครที่ชีวิตเคยเจออะไรแบบนั้นมาแล้วคงพอจะนึกออก

แต่ก็อย่างที่เขาว่าครับ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป ก็ต้องสู้มันต่อไป ถึงมองไม่เห็นทาง บางครั้งก็ต้องตั้งหน้าเดินต่อไป – นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ครับ คือระหว่างดูชีวิตของรูดี้มันก็ทำให้เราย้อนมองชีวิตตนเอง ย้อนคิดถึงการต่อสู้ในวาระต่างๆ ของเรา – บางทีพอเรามองย้อนไปเราก็อดไม่ได้ที่จะทึ่งนะครับ ว่ามนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรานั้นสามารถเอาชนะโจทย์หนาๆ ปึ้กๆ ของชีวิตได้ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้เราผ่านมันไปได้ก็คือความอดทน ความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

ในแง่ของรายได้หนังอาจไม่ประสบความสำเร็จนักครับ หนังลงทุนไป $40 ล้าน ได้คืนมาราว $45 ล้าน ตอนนั้นก็ถือว่ายังไม่ได้ทุนคืน แต่เชื่อว่าตอนนี้รายได้จากการฉายตามเคเบิ้ลหรือสตรีมมิ่งน่าจะโปะทุนได้แล้วล่ะ

นี่อาจไม่ใช่งานที่ดีที่สุดของ Coppola แต่ก็ถือเป็นหนังที่น่าจดจำและน่าลิ้มลองครับ ถือเป็นหนังว่าด้วยกฎหมายที่สะท้อนมิติของชีวิตคนได้เข้าท่าอยู่ครับ (ยกเว้นใครไม่ชอบหนังชีวิตที่เดินเรื่องช้า ก็ข้ามไปได้ครับ)