ค้นหาหนัง

The Mask of Zorro | หน้ากากโซโร

The Mask of Zorro | หน้ากากโซโร
เรื่องย่อ : The Mask of Zorro | หน้ากากโซโร

นับเป็นเวลา 20 ปีแล้ว หลังจากที ดอน ดีเอโก้ เดลา เบก้า (แอนโธนี่ ฮ็อพกิ้นส์) ได้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อย อัลดา แคลิฟอร์เนียให้เป็นเอกราชจากการ จมอยู่เยี่ยงทาสของสเปน ประเทศมหาอำนาจ ได้สัมฤทธิ์ผล ในฐานะวีรบุรุษทรงเสน่ห์ ผู้กล้าหาญ นามว่า โซโร เขาต้อง ถูกจำขังในคุกอันมืดมิดถึงกว่า 2 ทศวรรษ ณ บัดนี้เขาจำต้องเสาะหาผู้สืบ ตำแหน่งวีรบุรุษเพื่อหยุด ดอน ราฟาเอล มอนเตโร่ (สจ๊วต วิวสัน) อดีตผู้ว่าการผู้ทรงอิทธิพลล้นฟ้าชาวสเปนที่ตอบแทนความดีงาม ของ ดอน ดีเอโก้ ด้วยการสูญสิ้นอิสรภาพ พลัดพรากจากคู่ชีวิต เอสเปรันซ่า (จูเลียต้า โรเซ่น) และบุตรสาวสุดที่รัก เอเลน่า (แคทเธอรีน ซีต้า โจนส์) เจ้าวายร้ายในคราบผู้ดีมีแผนการณ์อันชั่วร้ายที่จะซื้อแคลิฟอร์เนียจากประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ขุนโจร เจ้าของอดีตอันโสมม อเลคันโดระ มูเรียต้า( อันโตนิโอ แบนเดอรัส) ได้ถูกลอกคราบไคลแห่งบาปโดย ตอน ดีเอโก้ พลิกโฉมให้กลายเป็นมหาบุรุษของปวงชนคนใหม่ ผู้มีฉายาว่า โซโร เพื่อขัดขวางแผนการณ์ร้อยเล่ห์เพทุบายของคนชั่วให้เป็นเพียงลมอ่อนที่ล่องลอยในความฝัน

IMDB : tt0120746

คะแนน : 7



The Mask of Zorro จัดเป็นหนังแอ็กชันฟันดาบย้อนยุคที่มีครบเครื่องทั้งความมันส์ ความเท่ห์ และอารมณ์ขันครับ

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ ดอน ดิเอโก้ เดอ ลาเวก้า (Anthony Hopkins) ผู้มักจะออกพิทักษ์คุณธรรมในคราบของ โซโร และเป็นศัตรูกับดอน ราฟาเอล มอนเตโร่ (Stuart Wilson) ทรราชผู้กดขี่ข่มเหงชาวบ้าน แต่แล้วดอนดิเอโก้เกิดพลาดท่าจนถูกจับได้ และถูกขุมขังอยู่หลายสิบปี จนในที่สุดเมื่อดอนราฟาเอลได้กลับมาอีกครั้ง ดอนดิเอโก้จึงต้องรีบออกจากคุกเพื่อล้างแค้นและรับมือกับจอมวายร้ายคนนี้ โดยเขาได้เจอกับ อเลฮานโดร มูเรียตต้า (Antonio Banderas) โจรกระจอกผู้เคยช่วยดอนดิเอโก้ไว้ในสมัยก่อน เขาเลยฝึกสอนอเลฮานโดร จนในที่สุด โซโร คนใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

เป็นหนังที่ตอบโจทย์ความบันเทิงได้อย่างดีครับ หนังเต็มไปด้วยฉากต่อสู้ ฉากโชว์สตันท์โลดโผน แล้วก็มีอารมณ์ขันดีๆ แทรกเป็นพักๆ ในขณะที่เรื่องราวนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรครับ ดูได้แบบง่ายๆ หนังเลยถือว่าดูเพื่อผ่อนคลายเสพความสนุกกันได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

ดนตรีของ James Horner มาพร้อมกลิ่นอายสเปนผสมด้วยเม็กซิกันแบบพอเหมาะครับ ที่สำคัญคือสามารถบิ้วให้บังเกิดความเท่ห์ได้ในหลายวาระ ยิ่งช่วงท้ายนี่ถือว่าเร้าอารมณ์ได้อย่างดี ซึ่ง Horner ออกตัวว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการทำดนตรีเรื่องนี้มาจากผลงานของ Miklós Rózsa จากเรื่อง El Cid นั่นเอง และที่ลืมไม่ได้คือเพลงหลักของหนังอย่าง I Want To Spend My Lifetime Loving You ที่เข้ากับตัวหนังอย่างสุดๆ และพลังเสียงของ Marc Anthony และ Tina Arena ก็ยังไพเราะอีกด้วย

นักแสดงก็ลื่นไหลครับ Antonio Banderas มีครบทั้งความทะเล้นและความเท่ห์เปี่ยมเสน่ห์ ส่วน Anthony Hopkins ก็มาพร้อมความนิ่งและสง่างามอย่างมาก แต่คนที่เกิดไปเต็มๆ ในตอนนั้นก็หนีไม่พ้น Catherine Zeta-Jones นางเอกสาวที่ในเรื่องเธอดูสวยโดดเด่น มีรัศมีผู้ดีแบบกำลังเหมาะ ในขณะที่ตัวร้ายอย่าง Wilson และ Matt Letscher ในบทผู้กองเลิฟก็ร้ายได้ระดับตามสูตรสำหรับหนังแนวนี้ครับ

คนที่ต้องชมอีกรายก็หนีไม่พ้นผู้กำกับ Martin Campbell แห่งหนัง 007 ตอน Goldeneye และ Casino Royale สำหรับเรื่องนี้เขาก็ทำหน้าที่ได้ดีครับ หนังสนุกและดูเพลินมาก ฉากต่อสู้ก็มันส์ โชว์ลีลากันเต็มที่ไปเลย สะใจดีครับ บันเทิงล้วนๆ

เกร็ดที่น่าสนใจของหนังก็มีอยู่ว่า ตอนแรกคนที่จะมารับบทดอน ดิเอโก้ เดอ ลาเวก้านั้นคือ Raul Julia ดาราเจ้าบทบาทที่หลายคนน่าจะจำเขาได้จากบทโกเมซ อาดัมส์ใน The Addams Family ครับ แต่เนื่องจากเขาเสียชีวิตไปก่อนที่หนังจะเริ่มถ่ายทำ บทเลยมีการเปลี่ยนมาเป็น Sean Connery แต่ปู่ Sean ก็บอกปัดบทนี้ไปครับ ทำให้บทตกมาถึง Hopkins และตอนแรก Hopkins เองก็เกือบจะไม่ได้มาเล่นครับ เพราะช่วงนั้นเขามีอาการปวดหลัง เลยทำให้เกรงว่าจะแสดงได้ไม่เต็มที่ แต่พอดีที่ในช่วงเวลานั้นเขาได้รับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ครับ ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เร็ว และสามารถมารับบทนี้ได้สำเร็จ

และดารารายที่ออกตัวว่าเขาต้องพยายามในการแสดงมากกว่าปกติก็คือ Letscher ผู้รับบทผู้กองเลิฟตัวร้าย โดยในเรื่องนั้นเขาจะต้องทำท่าเกลียดชังอเลฮานโดร (Banderas) อย่างมาก แต่ปัญหาคือในชีวิคตจริงนั้น Banderas เป็นคน Nice แบบสุดๆ ครับ ทั้งน่ารักทั้งคอยเรียกเสียงฮาให้กับคนในกองถ่าย เลยทำให้ Letscher ออกมายอมรับเลยว่าการจะแสดงท่าเกลียด Banderas เนี่ยเป็นเรื่องยากเย็นจริงๆ

นอกจากนี้จริงๆ แล้ว Hopkins นั้นได้รับการทาบทามให้ไปแสดงบทตัวร้ายในหนังบอนด์ตอน Tomorrow Never Dies ครับ เช่นเดียวกับผู้กำกับ Campbell ที่ถูกตามให้ไปกำกับบอนด์ภาคนั้นเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็พร้อมใจกันบอกปัดหนังบอนด์แล้วมาร่วมกันทำหนังเรื่องนี้แทน

ในขณะที่ผู้กำกับรายที่เกือบจะได้มาทำหนังเรื่องนี้ก็คือ Robert Rodriguez ครับ แต่เนื่องจากวิสัยทัศน์ของเขานั้นมีความรุนแรงในปริมาณที่มาก ซ้ำยังมีโอกาสติดเรต R แน่ๆ เลยทำให้สตูดิโอไม่เห็นด้วยครับ แล้วก็ให้ Campbell มากำกับแทน

หากว่ากันถึงรายได้แล้ว ถือว่าหนังทำเงินไปแบบกลางๆ ค่อนไปทางบวกครับ แม้จะโกยไป $250 ล้านจากทั่วโลกก็ตาม แต่ด้วยทุนสร้างที่สูงถึง $95 ล้าน ก็เลยทำให้กำไรของหนังไม่ถึงกับมากมายอะไร แต่ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จครับ เพียงแต่อาจไม่ถึงขั้นถล่มทลายเท่านั้นเอง

เอาเป็นว่าคอหนังแนวผจญภัยดวลดาบไม่ควรพลาดครับ