ค้นหาหนัง

The Man with the Golden Gun | เพชฌฆาตปืนทอง 007 [James Bond: Roger Moore]

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น
The Man with the Golden Gun | เพชฌฆาตปืนทอง 007 [James Bond: Roger Moore]
เรื่องย่อ : The Man with the Golden Gun | เพชฌฆาตปืนทอง 007 [James Bond: Roger Moore]

หน่วยสืบราชการลับ MI6 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้รับกระสุนสีทองที่มีตัวเลข “007” ซึ่งเป็นเลขรหัสของ เจมส์ บอนด์ (Roger Moore) สลักอยู่บนปลอกกระสุน MI6 เชื่อว่ามันถูกส่งมาโดยสุดยอดนักฆ่า ฟรานซิสโก้ สการามังก้า (Christopher Lee) ผู้รับงานด้วยเงินค่าจ้างสูงถึงหนึ่งล้านดอลล่าร์ต่อการลงมือหนึ่งครั้ง เขาใช้ปืนและกระสุนทองคำซึ่งไม่เคยพลาดเป้า เจมส์ บอนด์ จึงถูก M (Bernard Lee) เจ้านายของเขาสั่งให้ถอนตัวจากภารกิจที่ทำอยู่เพื่อความปลอดภัย แต่บอนด์กลับละเมิดคำสั่งและออกตามล่าสการามังก้า ก่อนที่เขาจะกลายเป็นศพต่อไปของ เพชฌฆาตปืนทอง

IMDB : tt0071807

คะแนน : 7



ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว บทของบอนด์ในภาคนี้แม้จะพยายามเพิ่มอะไรลงไปหลายอย่าง แต่สิ่งที่เพิ่มนั้นกลับไม่สามารถทำให้เรื่องแน่นขึ้นเท่าไร ยิ่งทีมงานตัดสินใจตัดประเด็นการขับเคี่ยวระหว่างบอนด์กับสการามังก้าออกไป ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องโล่งโถง แม้หนังจะพยายามเพิ่มเรื่องโซเล็กซ์ลงไป กับมุกตลกประปราย แต่ประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับตัวร้ายของสการามังก้านั้น กลับไม่เข้มข้นพอ แม้แต่ความร้ายกาจของเขาก็ไม่มากมายดังคาด

บอนด์ภาคนี้จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร รายได้ทั่วโลกเบ็ดเสร็จทำไปได้ $97.6 ล้านเท่านั้น

แล้วที่น่าหนักใจหน่อยคือ สาวบอนด์ประจำตอนที่ชื่อว่า แมรี่ กู๊ดไนท์ (Britt Ekland เซ็กซ์ซิมโบลคนหนึ่งแห่งยุคนั้น) แม้จะสวยน่ารักหุ่นดีอย่างแรง อีกทั้งยังขยันนุ่งน้อยห่มน้อยในช่วงท้าย แต่ไปๆ มาๆ เธอดันออกแนวแม่สาวผมบลอนด์ที่ขยันทำเรื่องให้มันวุ่นยิ่งขึ้น (บอนด์เกือบตายหลายครั้งก็เพราะเธอนี่แหละ)

บอนด์ภาคนี้จึงไม่มีอะไรประทับใจเท่าคราวก่อนๆ แล้วถ้าดูดีๆ จะรู้สึกว่าฉากแอ็คชั่นในหนังนั้น มาทางเดียวกับ Live And Let Die ทั้งการไล่ล่าทางรถและทางเรือ (อารมณ์เหมือนดูบอนด์ภาคที่แล้วซ้ำน่ะครับ)

แต่กระนั้น ถ้าถามว่าบอนด์ภาคนี้ดูได้ไหม ผมก็ว่ายังดูได้ครับ สนุกแบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ได้การแสดงดีๆ ของ Moore กับ Lee มาช่วยหนังไว้ได้ แล้วฉากบู๊โม้ๆ ที่หนังพยายามใส่ลงมา เช่น ฉากขับรถข้ามสะพานขาดที่ขับจริงข้ามจริง สลิงก็ไม่ใช้ ก็สร้างความตื่นตาได้บ้าง

นอกจากนี้หนังยังมาถ่ายทำในเมืองไทยครับ เราก็จะได้เห็นสภาพบ้านเมืองในยุค 70 ของเรา พร้อมทั้งภูมิใจในทิวทัศน์ที่งดงามของเกาะเขาพิงกันและเกาะตะปู ที่จัดได้ว่าเป็นโลเกชั่นที่โดดเด่นมากแห่งหนึ่งในหนังชุดนี้ ก็ถือเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ชมชาวไทยน่าจะชื่นชอบหนังภาคนี้ขึ้นอีกหน่อย

แม้ภาคนี้จะทำเงินไม่เยอะ ดังไม่มากและเนื้อหาเบาอย่างยิ่ง แต่ผู้สร้างก็พร้อมจะแก้มือในภาคต่อไปครับ ในชื่อตอนว่า The Spy Who Loved Me แต่ขณะที่อยู่ในช่วงเตรียมงานสร้างนั้นเอง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Saltzman มีปัญหาทางการเงิน อีกทั้งภรรยาก็ป่วยมาก ตัวเขาเองก็มีอาการเครียดจนไม่สามารถทำงานได้อีก จึงตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด (มูลค่า 20 ล้านปอนด์) ทำให้ Broccoli ต้องฉายเดี่ยวเป็นผู้อำนวยการสร้างเพียงลำพังในเวลาต่อมา

และด้วยเรื่องนี้ส่งผลให้หนังบอนด์ตอนที่ 10 ใช้เวลานานกว่าจะเปิดกล้อง เพราะผู้สร้างต้องมานั่งจัดการเรื่องหุ้น เรื่องทางกฎหมายและปรับการบริหารงานใหม่

แต่การกลับมาครั้งต่อไปของบอนด์ เข้าอีหรอบมาช้าแต่ชัวร์ เพราะบอนด์ภาคถัดไปน่าจะเรียกได้ว่าเป็นบอนด์ที่เจ๋งสุดของ Moore ก็ว่าได้