ค้นหาหนัง

The God of Cookery | คนเล็กกุ๊กเทวดา

The God of Cookery | คนเล็กกุ๊กเทวดา
เรื่องย่อ : The God of Cookery | คนเล็กกุ๊กเทวดา

โจวซิงฉือ รับบทกุ๊กเทวดาที่เย่อหยิ่ง และอวดดีเหลือเกิน จนมองข้ามหัวทุกคนไปเสียหมด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ตกลงร่วมมือกับนักธุรกิจที่รับบทโดย อู๋ม่งต๊ะ นั่นก็ทำให้เขาถลำลึกลงในไปคำว่า ธุรกิจ จนลืมว่าแท้ที่จริงแล้ว หัวใจของการทำอาหารนั้นอยู่ที่ไหน แล้วสิ่งที่เขาสร้างมาทั้งหมดก็ต้องพังทลายลงไป เพียงเพราะคนที่เขารับเข้ามาทำงานกับเขา ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นสุดยอดพ่อครัวที่สืบทอดยอดวิชามาจากวัดเส้าหลิน กุ๊กเทวดาไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้ แถมเขายังไปซื้อเนื้อราคาถูกที่มีโรคติดมาอีก จึงทำให้เขาหมดเนื้อหมดตัว แล้วโชคชะตาของกุ๊กคนนี้ ก็ตกต่ำสุดๆ แม้กระทั่งกินข้าวยังต้องไปกินร้านข้างทางเล็กๆ ร้านหนึ่ง นั่นทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวที่ขายบะหมี่คนหนึ่ง ที่แอบปลื้มกุ๊กเทวดาตั้งแต่สมัยเขายังมีชื่อเสียงอยู่ หญิงสาวคนนี้รับบทโดยคาเรน ม๊อก และเป็นบทบาทที่แว๊บเดียวที่เห็นก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ และกุ๊กเทวดาจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่ และอย่างไร เอาเป็นว่าไปลองหามาชมกันดูใน คนเล็กกุ๊กเทวดา

IMDB : tt0116426

คะแนน : 8



คนเรานี่ก็แปลกนะครับ ความสุขนั้นอยู่ใกล้ตัวเราจนคาดไม่ถึง บางทีกว่าที่เราจะรับรู้ถึงมันและกว่าที่จะรับรู้ว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นมีค่ามากมายเพียงใด ก็ต้องรอให้ถึงวันที่สูญเสียมันไปเสียก่อนจึงจะสำนึกกันได้

เคยดูหนังของ สตีเฟ่น โจว กันไหมครับ เอ่ยชื่อ สตีเฟ่น โจว อาจจะไม่คุ้นหูนักแต่ถ้าบอกว่าเขาคือ โจวซิงฉือ ก็คงจะร้องอ๋อกัน ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักและโด่งดังมากในบ้านเราเมื่อหลายสิบปีก่อน แม้ว่าทุกวันนี้เฮียโจวจะถอยมาอยู่เบื้องหลังตามประสาคนมีชื่อเสียงที่เริ่มจะอิ่มตัวกับมุขตลกบ้าๆ บอๆ แล้ว แต่ผลงานของเขาก็ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอยู่เสมอ ผลงานในช่วงหลังของเขาเริ่มออกแนวจริงจังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างเรื่องล่าสุดก็คือ คนเล็กของเล่นใหญ่ ที่มีเนื้อหาค่อนข้างซีเรียสกว่าเรื่องอื่นๆ ซึ่งก็ทำเอาคอหนังชาวไทยเสียอารมณ์ไปตามๆ กัน เพราะคิดว่าจะได้ เข้าไปฮาแตกกับมุขของแก อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ครับเพราะหน้าหนังที่ตัดออกมาก็พยายามเหลือเกินที่จะทำให้มันดูตลก ทั้งที่ไม่ตลก ตรงนี้จะเรียกว่าหลอกคนดูได้ไหมเนี่ย

ย้อนไปดูหนังเก่าๆ ของเฮียนั้น เฮียแกได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อหนังตลก แต่ในความตลกนั้นถ้าดูกันแบบพินิจพิเคราะห์ก็ช่วยบอกเรื่องราวความเป็นอยู่และเป็นไปของสังคมฮ่องกงได้เป็นอย่างดี คุณสิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์ เคย เขียนวิเคราะห์หนังของเฮียโจวไว้อย่างน่าสนใจว่า หนังส่วนใหญ่ของเฮียจะว่าด้วยคนชายขอบที่กำลังเคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย ขี้แพ้ มันก็เหมือนกันชาวฮ่องกงในยุกก่อนปี ๑๙๙๗ ที่กำลังมึนงงกับอนาคตหลังจากที่ต้องกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะคนฮ่องกงเกือบทั้งหมดคิดเสมอว่าพวกเขาคือชาวฮ่องกง ไม่ใช่ชาวจีน การกลับไปสู่อ้อมอกของจีนก็นับเป็นความรู้สึกที่หวาดหวั่นระคนกับความไม่แน่ใจในอนาคต ต่างจาก สตีเฟ่น โจว เชฟมือหนึ่งที่ได้รับยกย่องว่าเป็น “กุ๊กเทวดา” ที่ทั้งอาชีพการงานและชื่อเสียงพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด จนแทบจะไม่ต้องกังวลอะไร

กุ๊กเทวดาคนที่ว่านี้คือตัวละครหนึ่งในหนังเรื่อง “คนเล็กกุ๊กเทวดา” (The God of Cookery) เชฟโจว เป็นเชฟที่ได้รับการยกย่องอย่างมาก เป็นคนที่มีอิทธิพลสูงสุดในวงการอาหารฮ่องกง เรียกว่าชี้เป็นชี้ตายได้เลย หนังไม่ได้บอกหรอกนะครับว่าทำไมคนที่เห็นแก่ตัวอย่างสุดๆ อย่างโจวถึงได้มายืนที่จุดนี้ อย่างน้อยเขาก็คงเก่งจริงๆ นั่นแหละ และคนเราพอยืนอยู่บนยอดเขาก็มักจะไม่ค่อยมองเห็นหัวคนที่อยู่ข้างล่าง

ฉากแรกก็ฮาแตกได้แล้ว (อันนี้ต้องขอบคุณทีมพากย์พันธมิตร ถ้าไม่มีพวกเขาเราคงไม่ได้ดูหนังตลกๆ ดีๆ แบบนี้) เชฟโจวทำหน้าที่ตัดสินการทำอาหาร คอนเม้นท์ของแกแสดงถึงความสามารถในการทำอาหาร แม้ว่าบางคอมเม้นท์จะประสาทแดกไปบ้าง อย่างเช่นให้ศูนย์คะแนนแก่ยอดเชฟคนหนึ่ง เพียงเพราะหน้าตาขี้เหร่ เชฟโจวรับเด็กหนุ่มท่าทางขี้แพ้คนหนึ่งไว้เป็นเด็กรับใช้ แน่นอนว่าถูกเขาแกล้งเสียจนเละเทะ เชฟโจวเป็นคนที่ดำเนินธุรกิจแบบที่เรียกว่าเอาแต่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าไม่ใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร “จัดที่นั่งเบียดๆ กัน กินเสร็จจะได้ลุกๆ ไป หลอดก็ใช้หลอดหยาบๆ น้ำก็ใส่น้ำแข็งก้อนโตๆ ใส่น้ำน้อยๆ กินหมดจะได้สั่งใหม่อีก”

ในวันเปิดตัวร้าน “บะหมี่คู่ใจ” เชฟโจวก็ได้พบความจริงว่าแท้จริงแล้วไม่มีใครชอบเขาเลย แถมเด็กรับใช้ที่เขาเก็บมาก็แสดงตัวตนที่แท้จริง เชฟโจวถูกหักหลัง สิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่มีใครสนใจใยดี เขากลับมาเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งเหมือนเด็กรับใช้ที่เขาเคยแกล้งเป็นประจำ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปเบ่งกินฟรีในตลาดจนถูกจิ๊กโก๋ประจำตลาดซ้อมซะน่วม โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจาก เจ๊จี แม่ค้าขายบะหมี่หน้าตาแสนขี้เหร่ ขณะท้องหิวไส้แทบขาด เจ๊จียื่นอาหารที่เขาสารภาพว่ามันคืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิต แม้ว่ามันจะเป็นเพียงข้าวหน้าหมูย่างธรรมดาๆ

เจ๊จี แม่ค้าขี้ริ้วน้ำใจงามคอยช่วยเหลือเชฟโจวทุกอย่าง จนที่สุดเขาก็กลับมาทำธุรกิจลูกชิ้นเนื้อกระจกที่เด้งดึ๋งขนาดเอาเล่นเป็นปิงปองได้จนกลับมาร่ำรวย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องการคือการกลับไปยืนในตำแหน่งกุ๊กเทวดาอีกครั้งโดยการเข้าแข่งขันชิงแชมป์ยอดกุ๊ก โดยมีเจ๊จีคอยเอาใจช่วยอยู่ไม่ห่างแม้ว่าเชฟโจวจะแสดงความรังเกียจหน้าตาแสนขี้เหร่ของเธออยู่ตลอดเวลา

เชฟโจวเดินทางไปฝึกวิชาที่เมืองจีนโดยมีเจ๊จีแอบตามไป ที่นั่นเขาถูกมือสังหารตามเก็บแต่ก็รอดมาหวุดหวิด โดยมีเจ๊จีแม่ค้าขี้เหร่ที่เขารังเกียจเอาตัวเองขวางลูกกระสุนแทนเขา!

ไคลแมกซ์ของหนังอยู่ช่วงท้ายคือการแข่งขันทำอาหารชิงแชมป์ยอดกุ๊ก เชฟโจวเลือกทำพระกระโดดกำแพง แต่ก็โดนกลโกงของฝ่ายตรงข้ามเล่นงานจนพระกระโดดกำแพงเสียหาย เหลือเวลาอีก ๓ นาที เชฟโจวต้องทำอาหารที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ และสิ่งเดียวที่เขานึกถึงก็คือ…ข้าวหน้าหมูย่างแถมไข่ดาวอีกฟอง อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เจ๊จีหยิบยื่นให้เขายามตกต่ำ

เรื่องจบลงยังไงคงไม่ต้องเดา แน่นอนว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งตามสไตล์เฮียโจว ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยเสียหัวเราะ ขนาดฉากที่ต้องจริงจังแกก็ยังเสือกใส่มุขซะจนจริงจังไม่ออก แต่ก็อย่างที่บอกครับ ถ้าเพ่งพิจารณาซักหน่อยเราก็คงได้แง่คิดจากอารมณ์ขันเหล่านั้น ส่วนตัวแล้วยังไงๆ ก็ไม่ค่อยชอบเชฟโจวอยู่ดี เขาคือตัวแทนของระบบทุนนิยมชัดเจน ขนาดอยู่ในช่วงตกต่ำก็ยังอุตส่าห์ฝันเฟื่องคิดไกลว่าจะกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง จริงอยู่ที่เป็นเรื่องปกติของคนทำธุรกิจ แต่วิธีการนั่นสิ ที่เขากลับมาร่ำรวยได้เพราะเจ๊จีและชาวตลาด โดยเฉพาะเจ๊จี เพียงเพราะเธอขี้ริ้วใช่ไหม เขาจึงรังเกียจเธอทั้งที่เธอช่วยชีวิตเขาเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา จวบจนท้ายเรื่องเมื่อเจ๊จีกลับมาสวย เขาถึงเริ่มหันมามองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปรึเปล่า จนเหลือบไปเห็นหน้าปกหนังรูปเฮียโจวยืนยิ้มแฉ่งเลยนึกขึ้นได้ว่า นี่มันหนังตลกนี่หว่า