The Desperate Hour ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย
เรื่องย่อ : The Desperate Hour ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย
The Desperate Hour เรื่องราวเกี่ยวกับ “เอมี คารร์” (นาโอมิ วัตต์ส) คุณแม่เลี้ยงเดียวที่เพิ่งเสียสามีสุดที่รักไปอีกทั้งความสัมพันธ์กับลูกชายของเธอก็ยังไม่ลงรอยกันอยู่ เช้าวันนึงเธอออกวิ่งจ็อกกิ้งในป่าลึก จู่ๆ เธอได้รับแจ้งข่าวร้ายว่าเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนมัธยมที่ “โนอาห์” (โคลตัน ก็อบโบ) ลูกชายสุดที่รักของเธอเรียนอยู่ และกำลังอยู่ในอันตรายสุดขีด ด้วยเธออยู่ห่างออกจากเมืองไม่มีคนอยู่ แถมไม่มีรถสักคันผ่านมา เธอจึงต้องออกวิ่งบนระยะทางห่างจากเมืองหลายไมล์ด้วยความวิตกกังวลขั้นสุดเพื่อช่วยเหลือลูกของเธอ โดยมีเพียงโทรศัพท์ที่แบตใกล้จะหมดเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ
IMDB : tt13133936
คะแนน : 3
วิ่งไม่หยุด...อย่าหยุดวิ่ง! หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นผลงานหนังที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดในอาชีพนักแสดงของเสด็จแม่ "นาโอมิ วัตส์" แล้วก็เป็นไปได้ เพราะนี่คือ "The Desperate Hour" (ฝ่าวิกฤตวิ่งหนีตาย) หนังระทึกขวัญที่มีพร้อมกับกิมมิกการเล่าเรื่องในสไตล์สแตนอะโลนของนักแสดงนำเพียงหนึ่งเดียว เปรียบเสมือนพาผู้ชมขี่หลังวิ่งไปด้วยตลอดทั้งเรื่องกับสถานการณ์ที่บับคั้นขึ้นจับใจ The Desperate Hour เล่าเรื่องราว 84 นาทีสุดระทึก เมื่อ เอมี่ คาร์ กำลังวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้าในป่าลึก จู่ๆ เธอได้รับแจ้งข่าวร้ายว่าเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนมัธยม ที่ โนอาร์ ลูกชายวัยรุ่นสุดที่รักของเธอเรียนอยู่ และกำลังอยู่ในอันตรายสุดๆ เธอจึงต้องออกวิ่งบนระยะทางห่างจากเมืองหลายไมล์ด้วยความวิตกกังวลขั้นสุดเพื่อช่วยเหลือลูกของเธอ โดยมีเพียงโทรศัพท์ที่ใกล้จะแบตหมดเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ คงต้องบอกว่า The Desperate Hour เป็นหนังที่ดูได้สนุกไม่ยากเลย อีกทั้งสกิลขั้นเทพของ นาโอมิ วัตส์ ก็แทบไม่ต้องระแคะระคายใดๆ เลย เพราะเธอก็คือนักแสดงที่ยอดเยี่ยมและแบกรับหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้เพียงคนเดียวได้สบายๆ อยู่แล้ว มาดูในองค์ประกอบอื่นๆ ของหนังดีกว่า คงต้องชื่นชมสักหน่อยกับการเลือกวิธีเล่าเรื่องในสไตล์นี้ ที่เป็นการจดจ่ออยู่กับบุคคลเดียวในสถานการณ์คับขัน ที่การใช้วิธีนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง ไม่ปังก็คือพังไปเลย หนังแนวๆ นี้ที่เราเคยได้เห็นล่าสุดก็น่าจะเป็น "The Guilty" ที่ เจค จิลเลนฮาลล์ แสดงเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว เรื่องนั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้กับเจค ที่แสดงได้กัดกินใจในทุกส่วนประกอบ แต่ใน The Desperate Hour เป็นผลงานของนักสร้างหนังรุ่นเก๋า "ฟิลลิป นอยซ์" ที่ในยุคหลังๆ ผลงานของเขาก็ค่อนข้างเป๋ไปหน่อย หนังใช้สูตรคล้ายๆ กัน แต่มีกลิ่นอายเหมือนกับเรื่อง "Buried" ของ ไรอัน เรย์โนลด์ส มากกว่า