IMDB : tt0382625
คะแนน : 7
สำหรับ The Da Vinci Code นั้น เป็นหนังที่เหมาะมากๆ กับคนที่ชอบหนังสไตล์สืบสวนที่มีความแปลกใหม่ เพราะหนังเรื่องนี้ หรือชุดนี้ไม่ได้เป็นการสืบจากคดีในแบบปกติที่ใช้หลักฐานอะไรเป็นหลัก แต่เป็นการสืบหาจากสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เอามาเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ เพื่อไขไปสู่ความลับในอดีตที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น อีกทั้งมันยังไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดจากการที่ยังพยายามใส่ฉากไล่ล่าต่างๆ เข้ามา ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะเทียบกับนิยายต้นฉบับไม่ได้ แต่หากใครที่ชอบผลงานหนังชุดนี้อย่าง Anger & Demon หรือ Inferno แล้ว ก็ควรเก็บให้ครบทุกภาคไปอยู่ดี
สำหรับ The Da Vinci Code ฉบับภาพยนตร์นั้นสร้างมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของ Dan Brown ที่เรียกได้ว่าในตอนที่นิยายออกมานั้นก็เป็นกระแสอยู่ไม่น้อย เมื่อเนื้อหาของตัวนิยายนั้น มีการเอาพวกทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ เอามาผสมกับเรื่องราวทางศาสนาคริสต์ จนมีคนออกมาต่อต้านมากมาย เพราะหาว่าการบิดเบือนเรื่องราวแบบนี้ จะทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องราวจริงๆ นั้นเข้าใจไปแบบผิดๆ แต่ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งแบน ยิ่งต่อต้านเท่าไร ก็ยิ่งกลายเป็นกระแสมากเท่านั้น จนทำให้มาถึงฉบับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้ผู้กำกับสายคุณภาพอย่าง Ron Howard และได้ดาราชื่อดังอย่าง Tom Hanks เข้ามาร่วมในโปรเจคนี้
ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นแคส Tom Hanks มาในบทของศาสตราจารย์ แลงดอน ได้สมบทบาทมากๆ เพราะตัวบทของเขานั้น ก็ไม่ใช่พระเอกนักบู๊ แต่สายที่ใช้สมองในการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงสัญลักษณ์ต่างๆ ให้เข้ากับประวัติศาสตร์ได้ดี แต่แม้ว่าตัวละครจะไม่ใช่สายแอคชั่น แต่ตัวหนังก็ใส่ฉากไล่ล่าชวนระทึกในระหว่างภารกิจที่ทำออกมาได้ดูสนุกชวนลุ้นอยู่ไม่น้อย ทำให้จังหวะของหนังค่อนข้างสนุกดี ทั้งในพาร์ทการไขปริศนาไปยังจุดต่างๆ ที่ดูเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และนำไปสู่เบื้องหลังที่ใหญ่เกินกว่าจะคาดคิด ในขณะเดียวกันก็ได้ลุ้นกับฉากแอคชั่นที่เสริมเข้ามาเหมือนกัน รวมถึงดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ในเรื่องก็นับว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นและน่าจดจำอยู่เหมือนกัน
แต่หากมองในมุมของคนที่อ่านตัวนิยายต้นฉบับมาก่อนแล้วนั้น ก็นับว่าตัวหนังดรอปลงไปอยู่ไม่น้อย จากการตัดเนื้อหาสำคัญออกไปมากมาย จนดูเหมือนกลายเป็นหนังสืบสวนไล่ล่าแบบดาษดื่นมากกว่าตัวนิยายที่เป็นแนวทฤษฎีสมคบคิดที่มีชั้นเชิงได้กว่านี้ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าด้วยตัวหนังสือที่แสนหนา แถมยังอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาแบบเน้นๆ จนทำให้การตัดมาเป็นหนังใน 2 ชั่วโมงครึ่งโดยที่ไม่กระทบกับเรื่องราวนั้นจึงเป็นความท้าทายอยู่ไม่น้อย จนเรียกได้ว่าการได้ดูฉบับหนังก็เป็นการตอบโจทย์ได้ในระดับนึงในแง่ของความบันเทิงที่ดูได้แบบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่ชวนว้าวมากนัก แต่หากต้องการเบื้องลึกเบื้องหลังที่สนุกเข้มข้นกว่านี้ เราก็ขอแนะนำในฉบับนิยายที่เป็นงาน Masterpiece กว่าเยอะ