IMDB : tt0363771
คะแนน : 8
ผมเพิ่งมานึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เขียนถึง Narnia ภาคแรกเลยนี่หน่า แต่ดูภาคสองแล้วนะครับ ก็สนุกดีไว้จะมาเล่าตามระเบียบ ตอนนี้ขอย้อนไปที่ภาคแรกหน่อย จะได้ครบๆ
นี่คือตำนานบทแรกจากหนังสือ 7 เล่มของ C.S. Lewis ว่าด้วยการผจญภัยของสี่พี่น้องตระกูลพีเวนซี่ ทุกอย่างเริ่มเมื่อลูซี่ (Georgie Henley) น้องนุชคนสุดท้องค้นพบทางเข้าอาณาจักรแห่งนาร์เนีย ดินแดนอภินิหารที่เต็มไปด้วยสิงมีชีวิตประหลาดในตำนาน และปกครองโดยราชินีจาร์วิส หรือ แม่มดขาว (Tilda Swinton) ผู้อำมหิตและแสนจะเลือดเย็น ทุกชีวิตในนาร์เนียต่างอยู่ด้วยความอดทนและหวาดกลัว
แต่การมาของลูซี่ทำให้แม่มดขาวเริ่มคิดถึงคำทำนายแต่โบราณว่า จะมีบุตรแห่งอดัม (ซึ่งก็คือมนุษย์) 4 คนมากอบกูนาร์เนีย ทำลายอำนาจของเธอรวมถึงไปเพิ่มพลังอำนาจให้กับอัสลาน (ให้เสียงโดย Liam Neeson) ราชาราชสีห์ผู้เคยปกครองนาร์เนียให้ร่มเย็นมาก่อน แต่ก็ถูกอำนาจมืดของแม่มดขาวชิงไป
แม่มดขาวเลยเดินแผนการเพื่อทำให้คำทำนายไม่เป็นจริง ตั้งแต่สั่งทุกคนให้ตามล่าลูซี่ และพี่ของเธออันประกอบด้วยปีเตอร์ (William Moseley), ซูซาน (Anna Popplewell) และเอ็ดมันด์ (Skandar Keynes) และแม่มดยังพยายามหลอกล่อให้เอ็ดมันด์ยอมทรยศต่อพี่น้อง มาเข้ากับนางด้วยของล่อให้และข้อเสนอสารพัดจนเอ็ดมันด์ก็เริ่มจะคล้อยตาม
แล้วชะตากรรมของนาร์เนียจะไปในทิศทางใด พี่น้องทั้งสี่จะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีกหรือไม่ และอัสลานจะกลับมาปกครองนาร์เนียได้ไหม ก็เช่าแผ่นมาดูได้เลยครับสำหรับคนที่ยังไม่ทราบคำตอบ
ตอนหนังเข้าโรงผมก็ไม่ได้ไปดูนะครับ ตอนนั้นมีภารกิจเยอะ และอยู่ในช่วงนิ่งๆ กับการดูหนัง เพราะเริ่มอิ่มตัวน่ะแหละ อีกอย่างคือตัวอย่างมันก็ไม่ได้น่าสนใจมากมาย ดูปุ๊บเดาตอนจบได้เลยว่ามันต้องแฮ้ปปี้ตามสไตล์หนัง Walt Disney จะให้มันเร้าระทึกใจเต้นตึ้กๆ แบบตอนดู The Lord of The Rings คงไม่ได้ แต่ก็คิดว่าหนังคงไม่ห่วยหรอกครับ มาตรฐาน Disney ก็ค้ำคออีกเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นพอเห็นชื่อสร้อย The Lion, the Witch and the Wardrobe ต่อท้ายก็เดาได้เลยว่านี่ไม่ใช่ภาคเดียวจบแน่ๆ
พอออกแผ่นก็ซื้อมาลองลิ้มครับ ปรากฏว่าก็สนุกดีแฮะ
ก็ไม่ผิดคาดหรอกครับ มันน่าจะดีอยู่แล้วน่ะ เรื่องอาจจะยาวไปหน่อย (ราวสองชั่วโมงเกือบครึ่ง) แต่ที่ผมค่อนข้างทึ่งคือพลังดาราเด็กถือว่ามีอยู่พอตัว โดยเฉพาะแม่หนูลูซี่ ที่ Henley รับบทไว้ เรียกว่าแสดงได้น่าประทับใจ ทำให้เราอดส่งใจไปช่วยเธอไม่ได้ แหม ออกจะน่ารักขนาดนั้น ส่วนฉากต่างๆ ผมว่าก็ลงทุนสร้างโปรดักชั่นได้ดี ให้อารมณ์แดนแห่งเทพนิยายจริงๆ ไม่ว่าจะป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรือปราสาทน้ำแข็ง แม้แต่ตอนรบกันท้ายเรื่องโลเกชั่นก็ให้อารมณ์ว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้น่ะครับ เป็นแดนแสนไกลจริงๆ
การเดินเรื่องก็น่าติดตามกว่าที่คิด มีอืดบ้างในระดับพอรับได้ แต่ฉากลุ้นๆ นี่ทำได้ดีกว่าที่คิดนะ อย่างตอนต้องเดินข้ามธารน้ำแข็ง ช่วงนั้นก็เล่นเอาผมเกร็งได้เหมือนกัน แม้รู้ทั้งรู้ว่ารอด แต่ทำได้เสียวไส้ใช้ได้
คนที่เด่นนอกจากลูซี่แล้วก็ยังมีเอ็ดมันด์ ที่น่าจดจำมากๆ ในขณะที่ปีเตอร์กับซูซานยังไม่ได้มีอะไรมากเท่าไร แต่ก็ไม่ได้จมหายไปครับ แค่ลูซี่กับเอ็ดมันด์จะเด่นกว่าเท่านั้น
แต่การแสดงที่ยอดมากๆ ก็ต้องยกให้ Swinton ดูยังไงก็เป็นแม่มดขาวที่แสนร้ายร้อยเล่ห์ อำมหิตแบบไม่ต้องเอาปืนมาไล่ยิงใคร แค่แววตาก็ไม่น่าไว้ใจแล้วครับ หนังน่าติดตามขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะเธอคนนี้นี่แหละ
ก็นับว่าแปลกดีเหมือนกันครับ เอาเข้าจริงๆ หนังไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนะ ไม่ได้แปลกใหม่ด้วย ที่ผมบอกว่าดีก็ดีในแบบที่เราคุ้นเคย แต่เผอิญมันดีไงครับ เหมือน King Kong น่ะแหละ ตอนดูเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไร เราเห็นมาหมดแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เห็นพวกสิ่งมีชีวิตในตำนาน เห็นฉากผจญภัย เห็นเนื้อเรื่องความดีต่อสู้กับความชั่ว อะไรๆ ก็เดิมๆ แต่ Andrew Adamson คนกำกับก็แน่พอที่จะทำให้ของเดิมเหล่านี้ มีรสชาติกลมกล่อม แม้จะไม่ตื่นเต้นหรือประทับใจ แต่ก็ดูได้แบบเต็มอิ่ม เหมาะสำหรับเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สนุกไปด้วยได้
สิ่งที่ Narnia ทำสำเร็จก็คือทำให้ผมรู้สึกกลับเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนเรานั่งฟังนิทานก่อนนอนเพลินๆ แล้วก็หลับไปอย่างมีความสุข พอตื่นมาก็ยังยิ้มต่อได้อีก พร้อมรับวันใหม่และสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
สาระที่หนังนำมาสอนก็ถือว่าตรงไปตรงมาครับ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สาระที่สำคัญสุดหนีไม่พ้นเรื่องราวของเอ็ดมันด์ที่หลงเดินทางผิด แต่แล้วเมื่อกลับใจได้ก็พร้อมจะเสียสละทุกอย่างเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องอีกครั้ง พร้อมทั้งตระหนักได้ว่าการไปหลงใหลได้ปลื้มลมปากคนอื่นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง มันรังแต่จะทำให้เกิดเรื่องเสียหาย ดังนั้นเราเองก็ต้องระมัดระวังให้ดีนะครับ อย่าหลงอะไรง่ายๆ อย่าปล่อยใจไปเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ จำไว้ครับว่าสิ่งใดยิ่งหอมหวานยิ่งต้องกลั่นกรองให้ดีก่อนจะรับมันเข้ามาในชีวิต
สำหรับเวอร์ชั่นหนังสือก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีแนวคิดทางศาสนาแฝงอยู่มากมาย ซึ่งผมเองก็คงไม่เอามาไขนะครับ ผมเองก็เป็นชาวพุทธ ไม่ใช่ชาวคริสต์จึงไม่อาจตีความเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างตรงตามเปาประสงค์แท้ของคำสอนได้ แต่ผมก็มองว่าศาสนาไหนไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าคำสอนทำให้เราไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ก็พอ หากสอนให้เราใฝ่ดีก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกให้เกิดความแตกต่างหรอกครับ
ตัวอัสลานเจ้าราชสีห์ในเรื่องก็เสมือนเป็นตัวแทนพระเจ้า เพราะมีการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นก่อนจะคืนชีพมาอีกครั้งเพื่อปราบเหล่ามาร หมู่พาลโฉดชั่ว และสอนสั่งสหายกับลูกศิษย์ให้เข้าใจในสมดุลย์ระหว่างความดีและความเลว
แต่สำหรับผม ผมมองในระดับกลางๆ ว่าอัสลานก็คือผู้นำครับ เรื่องที่น่าศึกษาจากอัสลานคือ หลักการเป็นผู้นำนั้นคืออะไร นั่นคือต้องมีความรอบคอบ เสียสละ รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว มีความเอื้อเฟื้อ มองการณ์ไกล และทำอะไรเด็ดขาดเมื่อถึงคราวต้องเด็ดขาด (เช่น การที่พี่ท่านจัดการแม่มดขาวในตอนท้าย) องค์ประกอบผู้นำเหล่านี้ต่างหากที่ผมว่าน่าใส่ใจศึกษาจากตัวอัสลาน
เรียกได้ว่ามีอะไรให้คิดครับถ้าอยากลองคิด นี่สำหรับผู้ใหญ่นะ ส่วนใครยังอยากดูเพื่อความสนุกอยู่ก็ทำได้ครับ มันก็สนุกดีในแบบของมัน แบบนี้พูดยากเน้อะ ต้องบอกว่าถ้าชอบแนวนี้ดูแล้วน่าจะพอใจครับ แต่ถ้าไม่ได้ชอบแนวอภินิหารมานานแล้ว ก็ไม่ต้องดู เพราะมันเน้นอภินิหารเต็มๆ อีกอย่างคือมันเป็นวรรณกรรมเยาวชนเก่าน่ะครับ ลูกเล่นจะให้มากมายเท่า Harry Potter ก็คงไม่ได้ ไม่เชื่อลองไปดูขนาดความหนาของหนังสือตามร้านสิครับ หนาก็ไม่เยอะ เพราะในหนังสือเรื่องราวมันง่ายๆ ไม่ซับซ้อน (แต่แฝงเรื่องศาสนา หนังก็เลยออกมาง่ายๆ ไม่ซับซ้อนตาม
ถ้าชอบลองเล่นแพรวพราวล่ะต้องยกให้ Harry ครับ อันนั้นชนะขาด หรืออยากดูตำนานอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องดู Lord น่ะแหละ
ส่วนเรื่องนี้ สรุปสำนวนสั้นๆ ได้ว่า ดีครับ