IMDB : tt0476964
คะแนน : 7
คำถามที่น่าสนใจหลังดู The Brave One จบ คงเป็นว่า “เราเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอทำไหม?”
เอริก้า เบน (Jodie Foster) คือนักจัดรายการวิทยุที่มีแฟนหนุ่มแสนดี (Naveen Andrews) แต่อยู่มาวันหนึ่งกลับมีอันธพาลข้างถนนมาหาเรื่องรุมทำร้าย จนส่งผลให้เอริก้าบาดเจ็บสาหัส และแฟนของเธอต้องมาตายจากไป
พอฟื้นขึ้นมา เอริก้ายังคงจมอยู่กับความสะเทือนใจ และเมื่อถึงจุดหนึ่งเธอจึงตัดสินใจพกปืนไว้ป้องกันตัว ก่อนจะพยายามตามหาตัวพวกชั่วที่ฆ่าแฟนเธอ เพื่อนำพวกมันมาลงทัณฑ์ให้สาสม ระหว่างนั้นเธอก็มีการป้องกันตัว เก็บพวกอันธพาลอยู่หลายหน
ผมเชื่อว่าหลายคนก็มองเรื่องนี้หลายแบบ บางคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เอริก้าทำ บางคนอาจเข้าใจเธอแต่ไม่เห็นด้วยนัก และบางคนก็มองว่าเธอทำเกินกว่าเหตุหรือมองว่าเธอจะต่างอะไรกับอันธพาลพวกนั้นเล่า? ซึ่งการจะมองมุมไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความคิด สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ที่แต่ละคนพานพบมา
โดยส่วนตัวผมมองว่าสังคมที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะสรรพสิ่งหล่อหลอมให้มันเป็น ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมของคนดีที่ต้องนิ่ง เงียบ สงบ ไม่ต่อต้านขัดขืน มีส่วนส่งเสริมทำให้อาชญากรหลงระเริงกับการทำเรื่องผิดอยู่พอตัว
ก็ในเมื่อพวกคนไม่ดีจะโกงยังไงก็โกงไป จะปล้นยังไงก็ปล้นไป จะเดินข้างถนนปากเสียแค่ไหนก็ได้ไม่มีใครกล้าห้าม หรือถ้ารุมกระทืบใครปางตายก็แค่วิ่งหนีหายให้ทัน เดี๋ยวมันก็รอด หรือต่อให้วิ่งไม่หนีไม่รอด พอโดนจับไปไม่นานก็ถูกปล่อยตัว
บางคนแม้จะฆ่าคนตาย โดนจับไปเพื่อลงโทษ ก็ยังอุตส่าห์มีคนช่วยเป็นกระบอกเสียงต่อต้านโทษประหารให้อีกต่างหาก ซึ่งผมเข้าใจครับว่าคนที่ไม่ชอบโทษประหารย่อมมีเหตุผลอันสมควร ย่อมมี “กรณีตัวอย่างในใจ” ที่ทำให้ไม่โอเคกับโทษประหารนั้น
“โทษประหาร” อาจไม่เหมาะกับทุกกรณี แต่ “การละเว้นโทษประหารโดยสิ้นเชิง” ก็อาจไม่เหมาะกับทุกกรณีเช่นกัน
บางทีอะไรพวกนี้ก็ยั่วให้คนรู้สึกว่า “ถึงจะชั่วแต่ก็ไม่ต้องรับผล” ไม่ต้องขวัญผวาอีกต่างหาก เพราะคนดีๆ ไม่มาคุกคามเขาหรอก ดังนั้นเขาก็เลือกเป็นฝ่ายคุกคามก่อน ทำอะไรแค่ไหนก็ทำไป เพราะแม้จะทำลงไปแล้ว ก็ยังจะมีคนเปิดโอกาสเปิดทางรอดให้อีกด้วย
ระหว่างพิมพ์นี่ในหัวผมจินตนาการภาพเมืองใหญ่ที่มีหมาป่าเดินอยู่รอบท่ามกลางฝูงแกะ หมาป่าบางตัวก็เอาขนแกะมาห่มเดินปะปนอยู่… แกะส่วนใหญ่รอวันโดนขย้ำทั้งสิ้น
“ในโลกนี้ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด” แม้หลายคนจะบอกว่าประโยคนี้มันไม่ใช่นะ มันสุดโต่งเกินไป มันไม่จริงหรอก… แต่ผมก็ไม่แน่ใจแล้วล่ะครับว่า จริงๆ แล้วมันคือความจริง แต่เราพยายามหาเหตุหาผลดลบันดาล (หรือพรางหูพรางตาตน) ว่ามันไม่จริงอยู่หรือเปล่า
ในมุมหนึ่งสิ่งที่เอริก้าทำก็สุดโต่ง แต่ก็เพราะเธอเจอเรื่องแบบนั้นมา และเธอทนไม่ได้กับการที่คนดีต้องมาโดนทำร้ายร่ำไป (ตามหลักที่ว่า “คนดีต้องไม่ทำร้ายคนอื่น แต่ต้องยอมเป็นฝ่ายทน”) อีกทั้งพวกร้ายๆ ก็ขยันคุกคามชีวิตคนเสียเหลือเกิน เลยลุกขึ้นมาป้องกันตัว แต่แน่นอนว่ากฎหมายย่อมไม่อนุญาต เธอเลยกลายเป็นศาลเตี้ยที่ตำรวจต้องหยุดยั้ง
ระหว่างดูเราจะเชียร์เอริก้าให้ทำหรือให้หยุด… ซึ่งมันก็คงบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้หลายอย่าง ^_^ อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าคุณคิดแบบไหนแล้วมันดีหรือไม่ดีนะครับ แค่อยากให้ลองสังเกตตัวเองน่ะว่าเราคิดแบบไหน และอะไรทำให้เราคิดแบบนั้น
พอดูจบ ก็อดคิดไม่ได้ครับว่าถ้าเราปล่อยให้โลกนี้เปิดโอกาสให้คนไม่ดีมีที่ทางให้ทำชั่วต่อไปเรื่อยๆ โลกคงน่าอยู่น้อยลง แต่ครั้นจะลากปืนไปยิงกับพวกนั้นก็ดูรุนแรงอยู่ ดังนั้นหนทางที่พอจะทำได้ก็คือ เพิ่มทางเลือกให้คนดี (หรือคนปกติที่ไม่ดีไม่ร้าย) ให้มีทางเดินอีกนิด อย่างการสอนให้คนเลิกยอมแต่ฝ่ายเดียว สอนให้เรากล้ามากขึ้นในการปกป้องตนเอง จำกัดพื้นที่อาชญากรให้มันลดลงโดยเพิ่มพื้นที่ให้กับคนธรรมดาๆ มากขึ้นอีกสักหน่อย… ก็คงพอช่วยได้บ้าง
พูดง่าย แต่ในโลกความจริงจะง่ายปานพูดไหมหนอ?
ร่ายมาไกล เข้าเรื่องหนังดีกว่า The Brave One ถือเป็นหนังทริลเลอร์ที่ทำออกมาได้เข้มข้นและน่าติดตามดีครับ Foster แสดงได้น่าจดจำเช่นเคยกับบทหญิงผู้ถูกกระทำ ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นกระทำกลับบ้าง (แบบที่เธอแสดงได้ดีเสมอ ไม่ว่าจาก The Accused หรือ Flightplan) ส่วน Terrence Howard ก็ถ่ายทอดบทตำรวจที่ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เอริก้าทำได้ดีเช่นกัน
หนังกำกับโดย Neil Jordan (The Crying Game, Interview with the Vampire และ Michael Collins) ซึ่งผลที่ได้นับว่าน่าพอใจครับ ดูแล้วนึกถึง Death Wish ของลุง Charles Bronson อยู่เหมือนกัน
สรุปว่าหนังเรื่องนี้น่าจดจำสำหรับผมมากอยู่ครับ ^_^