The Adam Project คือภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดี้เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ได้ Shawn Levy เจ้าของผลงานอย่าง Free Guy (2021) มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วยนักแสดงมากฝีมืออย่าง Ryan Reynolds, Walker Scobell และ Mark Ruffalo มารับบทนำ
ภาพยนตร์จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของ Adam (Ryan Reynolds) นักบินหนุ่มจากโลกอนาคตปี 2050 ที่แอบขโมยเครื่องบินย้อนเวลาและพยายามจะเดินทางกลับไปในปี 2018 เพื่อหวังจะหยุดยั้งโปรเจกต์ย้อนเวลาที่ Louis Reed (Mark Ruffalo) พ่อของเขาเป็นผู้คิดค้นขึ้น ไปพร้อมกับการขัดขวางแผนการยึดครองโลกอนาคตของ Maya Sorian (Catherine Keener)
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Adam ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกไล่ล่า ดันย้อนเวลากลับมาในปี 2022 และบังเอิญมาเจอกับ Adam (Walker Scobell) ในวัย 12 ปี เขาจึงต้องร่วมมือกับตัวเองในวัยเด็ก เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตและกอบกู้อนาคตให้สำเร็จ
หากใครที่เคยชมผลงานของ Shawn Levy มาบ้าง เช่น Night at the Museum (2006), Real Steel (2011) หรือผลงานล่าสุดอย่าง Free Guy จุดร่วมข้อหนึ่งในทุกผลงานของ Shawn Levy ที่โดดเด่นมากๆ คือการปรุงแต่งรสชาติของภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดี้ที่สนุกสนาน และยังถ่ายทอดเรื่องราวความสัมผัสของตัวละครภายในเรื่องออกมาได้อย่างอบอุ่น
เช่นเดียวกับ The Adam Project ที่แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะมีพล็อตที่น่าสนใจมากๆ อย่างการย้อนเวลากลับไปหาตัวเองในวัยเด็กอีกครั้งเพื่อร่วมมือกันกอบกู้โลกอนาคต แต่ Shawn Levy ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการพาผู้ชมไปสำรวจแง่มุมความรู้สึกและความสัมพันธ์ของตัวละครภายในเรื่องอย่างลึกซึ้ง
IMDB : tt2463208
คะแนน : 6
องค์ประกอบสำคัญที่ถ่ายทอดเนื้อหาเหล่านี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ คือฝีมือการแสดงของทีมนักแสดงนำ ไล่เรียงตั้งแต่ Ryan Reynolds และ Walker Scobell ผู้สวมบทเป็น Adam วัยหนุ่มและวัยเด็ก ที่นอกจากการประชันฝีปากที่ไม่มีใครยอมใครแล้ว พวกเขายังถ่ายทอดความอ่อนแอที่ตัวละคร Adam แอบซ่อนเอาไว้ออกมาได้อย่างกินใจ
รวมถึงเหล่านักแสดงสมทบที่ต่างก็ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Mark Ruffalo ในบทบาทของ Louis ที่พยายามจะเป็นพ่อที่ดีให้กับลูก, Jennifer Garner ในบทบาทของ Ellie Reed แม่ผู้ต้องรับมือกับนิสัยแย่ๆ ของ Adam วัยเด็ก และ Zoe Saldana ในบทบาทของ Laura แฟนสาวของ Adam ที่ต้องมาร่วมมือกันกอบกู้อนาคต
อย่างไรก็ตาม The Adam Project ก็ยังมีจุดด้อยให้เรากล่าวถึงอยู่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะตัวละครหลักของเรื่องอย่าง Maya Sorian ที่รับบทโดย Catherine Keener ซึ่งถูกนำเสนอได้ไม่ดีเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายของเธอที่แม้จะดูสมเหตุสมผล แต่เธอกลับไม่ได้มีบทบาทในเส้นเรื่องหลักมากนัก และไม่ทำให้เรารู้สึกถึงความร้ายกาจของเธอแม้แต่น้อย Maya Sorian จึงกลายเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องที่ไร้มิติและไม่น่าจดจำเท่าไรนัก