ค้นหาหนัง

The Abyss | ดิ่งขั้วมฤตยู

The Abyss | ดิ่งขั้วมฤตยู
เรื่องย่อ : The Abyss | ดิ่งขั้วมฤตยู

เมื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ “มอนทาน่า” ได้เกิดเหตุอับปางลงไปในหุบเหวลึกใต้มหาสมุทร หลังจากที่เกิดการชนเข้ากับวัตถุที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร หลังจากนั้นทั้งฝ่ายของสหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างก็ต้องการมีส่วนร่วมในการเก็บกู้เรือดำน้ำลำนี้ โดยทางสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะให้หน่วยรบพิเศษซีลเข้าไปทำภารกิจนี้ด้วยตัวเอง โดยใช้แท่นขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเลของบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่มีชื่อว่า “ดีพ คอร์” เป็นฐานปฏิบัติการกู้ภัยในครั้งนี้ และได้ขอให้ทางลูกเรือของแท่นขุดเจาะมาทำงานร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าแท่นขุดเจาะฯ และอดีตภรรยาของเขาผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบแท่นขุดเจาะนี้ แต่ไม่นานเท่าไหร่พวกเขาก็ได้พบกับสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรือดำน้ำจมลงไปใต้ทะเล มันเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในโลก และไม่มีใครรู้มาก่อนว่าพวกมันได้มาอยู่ในโลกนี้นานแล้ว

IMDB : tt0096754

คะแนน : 8



The Abyss  หนัง เจมส์ คาเมรอน ยุคแรกๆ  ก่อนการมาถึงของ  Teminator 2,Titanic  รวมทั้งAvatar ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคะแนนและเสียงวิจารณ์ค่อนข้างดีเลยทีเดียวแต่กลับทำเงินน้อยมากๆ อย่างไม่น่าจะเป็น เมื่อดูจากฟอร์มของหนังที่เรียกได้ว่า  อลังการงานสร้าง

แม้อายุอานามของหนังเรื่องนี้จะล่วงเลยมาเกือบๆ  22 ปี เข้าไปแล้ว แต่งานสร้างของหนังไม่ได้ดูเชยหรือชวนหงุดหงิดแต่อย่างใด  ซีจีดูสวยงามและสมจริงล้ำยุคสุดๆ  เรียกได้ว่า สวยสมวัย โดยเฉพาะภาพของคลื่นยักษ์ในช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งแม้แต่หนังไทยในปัจจุบันก็ยังสร้างอะไรอย่างนี้ไม่ได้ รวมไปถึงงานดนตรีของ อลัน ซิลเวสทรี ที่หลอนเข้ากับบรรยากาศหดหู่ ไม่น่าไว้วางใจ ใต้ทะเลลึกที่อุณหภูมิแทบจะติดลบ จนผู้ชมรู้สึกหนาวไปด้วย

ด้วยความที่หนังมีหลายเรื่องที่จะเล่ากับหลายประเด็นที่จะบอก จนบางครั้งก็เกิดความรู้สึกที่ว่า เฮ่ย....ตกลงอีตาคาเมรอนจะเอายังไงกับหนังเรื่องนี้ฟ่ะ เปิดเรื่องมาด้วยการโจมตีเรือดำน้ำของเอเลี่ยน แล้วหนังก็เบนเข็มไปที่การกู้เรือดำน้ำแทน โดยไม่กลับมาพูดถึงมนุษย์ต่างดาวอีกพักใหญ่ๆ ปล่อยให้คนดูคิด จินตนาการไปต่างๆนานา ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่??  หนังจึงค่อยปล่อยน้องเลี่ยนออกมาอีกแค่แป๊ปเดียว ให้พอหายคิดถึงและเพื่อย้ำกับผู้ชมว่าหนังไม่ได้ลืมน้องเลี่ยน แค่ขอให้อดทนรออีกนิด ที่หลังจากนั้นหนังก็เปลี่ยนตัวเองอีกครั้ง คราวนี้หันไปกู้ระเบิดนิวเคลียร์แทนซะเลย และก็วุ่นๆอยู่กับนิวเคลียร์อีกนาน จนกว่าจะได้เห็นเจ้า E.T. อีกครั้งก็เป็นช่วงท้ายๆเรื่อง ซึ่งที่จริงหนังควรจะตัดเรื่องหลักๆออกไปบ้างเพราะเท่าที่เห็น มันเยอะเกินไป  เช่น  หากหนังต้องการเล่นประเด็นมนุษย์ต่างดาว ก็ควรตัดการกู้เรือดำน้ำออกไปให้เหลือเฉพาะการกู้หัวรบก็พอ เพราะหัวรบนิวเคลียร์มีผลต่ออารมณ์ในตอนท้ายๆเรื่อง  หรือถ้าจะมาในแนวหนังกู้ชีพก็ไม่ต้องใส่น้องเลี่ยนมา บางทีการเล่าเรื่องน้อยๆ พล๊อตสั้นๆมันไม่วุ่นวายและง่ายต่อการคุมโทนหนัง  ซึ่งก็ยอมรับครับว่าคาเมรอนเป็นผู้กำกับที่มีจินตนาการก้าวไกลและไอเดียบรรเจิดเป็นอันดับต้นๆในบรรดาผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวู้ด  แต่การที่หนังยัดเยียดเรื่องราวลงมามากเกินไป  ทำให้หลายๆตอนอาจทำให้รู้สึกเบื่อด้วยไม่รู้ว่า หนังจะเอายังไงกันแน่ ไม่มีทิศทางที่เด่นชัด เดินไปหน้า เลี้ยวซ้ายที  ก็เลี้ยวขวาที แล้วดันแวะงีบข้างทาง  ตื่นมาก็เดินต่อ กว่าจะไปถึงไคลแม็กซ์  ก็เล่นเอาคนดูเกือบหลับไปเหมือนกัน

แต่หนังมีดีที่สาส์น บางอย่างที่ต้องการบอกคนดู  ซึ่งมีทั้งที่บอกกันตรงๆไม่ต้องไปนั่งตีความให้ปวดหัว และสื่อผ่านการกระทำของตัวละคร ที่เห็นได้ชัดคือ  การก่อสงครามฆ่าฟันกัน เหตุการณ์ของหนังเกิดขึ้นในช่วงที่ไฟสงครามเย็นกำลังมอดลงหนังจึงออกมาเป็นหนังแอนตี้สงครามอยู่กลายๆ  เน้นย้ำถึงความเลวร้ายของสงครามต่างๆที่มนุษย์ได้ก่อขึ้นที่นับวัน วิธีการและอาวุธของแต่ละฝ่ายจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกที  ประเด็นนี้สื่อผ่านการบอกเล่าของเหล่ามนุษย์ต่างดาว ที่มาอยู่บนโลกนี้(อันที่จริง เค้าอยู่กันใต้มหาสมุทร)และสังเกตความเปลี่ยนแปลงของโลกมานานแล้ว  จนกระทั่ง เหล่าเอเลี่ยนทนไม่ได้  ต้องออกมาสั่งสอนมวลมนุษย์ให้รู้สำนึกแบบเดียวกับหนัง The Day The Earth Stood Still      อีกทั้งหนังยังมีประเด็นเสียดสีความเห็นแก่ตัวของคนเรา ผ่านการกระทำของ ร้อยโทฮีราม  คอฟฟี่(รับบทได้อย่างยอดเยี่ยมโดย  ไมเคิล บีห์น  นักแสดงลูกหม้อของคาเมรอน  จากหนัง Aliens,Terminatorภาคแรก)    ที่เกิดอาการเครียดและหวาดระแวงจากการอยู่ใต้น้ำ  เพื่อจะให้งานของตัวเองสำเร็จแล้ว เขาไม่ได้สนใจว่า จะมีใครต้องเดือดร้อนหรือไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา  จนเกือบจะทำลายชีวิตของลูกเรือที่เหลือและมนุษยชาติ

ฉากที่กินใจที่สุดผมยกให้ ฉากที่เอ๊ด แฮร์ริส  ลงไปปลดชนวนระเบิด  ครั้นพอปลดเสร็จ  ออกซิเจนดันเหลิอน้อย  ไม่สามารถขึ้นมาได้  จึงตัดสินใจ สละชีวิตตนเอง และทำใจอยู่รอความตาย ในขณะที่อยู่รอความตายก็ได้พูดคุยกับนางเอกซึ่งเป็นภรรยา    ชีวิตคู่ของพวกเขาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวัง ทั้งคู่ปรับความเข้าใจและบอกความในใจกัน  ซึ่งคนเราก็แปลกนะครับ ตอนปกติๆเจอหน้ากันทุกวัน  แต่ไม่ยอมพูดกันตรงๆ ต้องให้มีช่วงเวลาคับขันของชีวิตเข้ามา  ถึงจะยอมบอกกัน  ฉากนี้อารมณ์แบบเดียวกับวาระสุดท้ายของลุงบรู๊ซ  วิลลิส ใน Armageddon ครับ  ไม่แน่ว่า  เรื่องหลังอาจะได้แรงบันดาลใจฉากนี้มาจากThe Abyss ก็ได้

ในแง่ของความบันเทิง  หนังอาจจะให้ได้ไม่เต็มที่ แต่สำหรับสาระแล้ว มีคับแก้วเลยครับ  กับแนวคิดที่คมคายสื่อถึงคนดูอย่างได้ผล  ผมเดาเอานะครับว่า  หากจะมีการรีเม้คหนังเรื่องนี้ในปัจจุบัน  ประเด็นเรื่องสงครามจะถูกเปลี่ยนไปเป็นประเด็นโลกร้อนหรือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เหมือน The Day The Earth Stood Still

ในทุกๆวันมนุษย์เอาแต่ถามหาความยุติธรรมจากโลกใบนี้  แต่กลับลืมถามตัวเองว่า ทุกวันนี้เราได้ให้ความยุติธรรมแก่โลกมากพอแล้วรึยัง??  หรือเราจะต้องรอให้มีมนุษย์ต่างดาวจริงๆลงมาเตือน  เราถึงจะสำนึกกัน