ค้นหาหนัง

Stargate | สตาร์เกท ทะลุคนทะลุจักรวาล

Stargate | สตาร์เกท ทะลุคนทะลุจักรวาล
เรื่องย่อ : Stargate | สตาร์เกท ทะลุคนทะลุจักรวาล

แดเนี่ยล แจ็คสัน นักโปราณคดีหนุ่มผู้เชี่ยวชาญเรื่องอักษรภาพอียิปต์โบราณ ได้ตอบรับคำเชิญของหญิงชราลึกลับในการถอดรหัสอักษรภาพปริศนา ที่ปรากฎอยู่บนสิ่งก่อสร้างโบราณซึ่งขุดค้นพบในอียิปต์ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขากำลังจะค้นพบ จะนำมาซึ่งการเดินทางข้ามจักรวาลผ่าน สตาร์เกท หรือประตูที่เชื่อมต่อระหว่างดวงดาวซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวทิ้งไว้บนโลกมนุษย์ในอดีตเมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดยมีผู้พัน แจ็ค โอนีล เป็นผู้นำการสำรวจผ่านสตาร์เกท ไปยังดวงดาวอันไกลโพ้นที่มีพิกัดตั้งอยู่ในกาแล็คซี่กาเลี่ยม (kaliem galaxy) การเดินทางครั้งนี้ คณะสำรวจได้พบกับชนพื้นเมืองซึ่งเป็นมนุษย์โลกที่ถูกมนุษย์ต่างดาวซึ่งเปรียบเสมือน รา พระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ จับมาใช้เป็นแรงงานทาส การต่อสู้ของแจ็คสันและโอนีลเพื่อหาทางกลับโลก และปลดปล่อยเหล่ามนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมนุษย์ต่างดาวจะสำเร็จหรือไม่

IMDB : tt0111282

คะแนน : 8



Stargate อาจเป็นหนังไซไฟแอ็กชันโกยเงินแต่ไม่โกยคำชมเรื่องหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังมีอะไรที่น่าสนใจเยอะแยะไม่ใช่เล่น!

จุดสำคัญประการแรกคือเป็นหนังทุน $55 ล้านที่ดันทำเงินหักปากกานักวิจารณ์ที่ตราหน้าไว้ว่าหนังไม่มีอะไรนอกจากทะเลทรายแล้วก็ฉากสู้ที่ธรรมดาสามัญ การจะทำเงินคุ้มทุนคงเป็นไปได้ยาก แต่ที่ไหนได้ครับหนังรับทรัพย์เฉพาะในอเมริกาปาเข้าไป $71 ล้าน ถ้านับรวมทั่วโลกก็โกยไป $200 ล้านหย่อนไปไม่เท่าไหร่ ทำเอาชื่อผู้กำกับ Roland Emmerich และคู่หูผู้อำนวยการสร้าง Dean Devlin ร้อนฉ่าทันที แล้วก็เป็นโอกาสที่ส่งให้พวกพี่แกได้ทำ Independence Day ในกาลต่อมา

หากมุมในมุมนักวิจารณ์ก็พอเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงไม่ใคร่จะปลื้มหนังเรื่องนี้นัก ก็ถ้าตัดฉากบู๊ออกไปหนังแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องที่ผูกไว้หลวมๆ พล็อตก็งั้นๆ ยังกับหนังเกรดบีแต่ดูดีหน่อยที่มีคนเล่นเยอะแล้วก็ได้ดารามีอันดับมาช่วยแสดงนำ หรือแม้แต่ฉากบู๊เองก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แค่เอาปืนมาไล่ยิง เลเซอร์โฉบหน้ากันเฟี้ยวฟ้าวเท่านั้น

แต่ถ้าถามว่าทำไมคนดูถึงเข้าไปดูกันเยอะก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าตอนนั้นหนังโม้ออกอวกาศที่ถึงใจพระเดชพระคุณนั้นมันไม่ค่อยมี มิหนำซ้ำตัวอย่างยังตัดออกมาได้สนุกสนานเต็มที่ อีกทั้งหากคนดูไม่หวังอะไรมากไปกว่าการผจญภัยแล้วก็เอาปืนมารบกัน ก็ได้ไปสมประสงค์ แม้จะไม่ได้ใหม่สุดยอด แต่ก็ถือว่ามาเหมาะในจังหวะที่ฮอลลีวู้ดกำลังขาดแคลนอยู่พอดี

เป็นเรื่องปกติครับ หนังที่ไม่ได้โดดเด่นสุดยอด แต่ทำออกมาดูเพลินสะใจก็โกยเงินให้เห็นไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ส่วนผมก็ก้ำกึ่งครับ ไม่ถึงกังชอบมากมาย แต่ดูได้เพลินๆ สนุกตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดี

ด้านแอ็กชันก็พอเพลินๆ ไม่ได้น่าติดใจ แต่ผมกลับชอบการผูกเรื่องมากกว่าที่โม้ได้ที่เหมาะกับหนังแนวไซไฟ เอาตำนานอียิปต์มาผสมกับนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เราชอบมีคำถามกันอยู่เสมอว่าตกลงพีระมิดที่ยิ่งใหญ่อลังการจนคนไม่น่าทำขึ้นมาได้นั้น อาจสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวก็ได้

Emmerich ก็เลยเริ่มคิดโปรเจคท์นี้มาตั้งแต่ปี 1979 ระหว่างยังเป็นนักศึกษาอยู่ ผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะเกี่ยวกับพีระมิดและมนุษย์ต่างดาวว่ามันจะไปเกี่ยวกันได้อย่างไรบ้าง แล้วก็พักไว้ เพราะยังบ่มเพาะไม่ได้ที่ รอจนมีโอกาสเจอกับ Devlin ที่ร่วมแสดงใน Moon 44 ผลงานการกำกับเรื่องแรกๆ ของ Emmerich พอสองคนเจอกันคุยถูกคอก็เลยร่วมกันสร้างหนังแอ็กชันอย่าง Universal Soldier แล้วก็คิดบทผูกเรื่อง รวมทั้งหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์จนได้มาปเน Stargate นี่แหละ

หนังเปิดมาก็ย้อนเหตุการณ์ไปที่เมืองกิซา ประเทศอียิปต์ ปี 1928 ที่นักโบราณคดีขุดพบซากวงแหวนปริศนาเข้า ไม่มีใครรู้ว่ามันมีไว้ทำอะไร จนกระทั่งปัจจุบัน ที่ทางการเกิดค้นคว้าจนได้เรื่องคืบหน้าไปมาก แล้วก็ตามเอานักอียิปต์วิทยาที่ชื่อแดเนี่ยล แจ็คสัน (James Spader) ให้ช่วยมาแปลภาษาเฮียโรกริฟิก ผลที่ได้คือทราบว่าเจ้าวงแหวนนี้คือประตูสู่ดวงดาว ที่อาจจะไขปริศนาว่าใครคือผู้สร้างพีระมิด แดเนี่ยลกับ ผู้การโจนาธาน โอ’ นีล (Kurt Russell) หัวหน้าฝ่านทหารที่จะพาเอากำลังทหารจำนวนหนึ่งผ่านประตูเข้าไปสำรวจด้วย

แล้วเมื่อทุกคนไปถึงก็ได้เจอคำตอบครับ เมื่อมียานลึกลับพุ่งเข้าโจมตี ไหนจะต้องเจอสิ่งมีชีวิตลึกลับที่สวมหน้ากากอานูบิส ซ้ำยังเจอพีระมิดอีกหนึ่งอันที่ดูเหมือนยานอวกาศมากกว่า งานนี้พวกเขาเลยต้องหาทางเอาตัวรอด เพราะดูเหมือนเจ้าของพีระมิดที่ชื่อ “รา” จะไม่เป็นมิตรกับใคร มุ่งหมายแต่จะฆ่าผู้ที่ไม่ยอมสยบเท่านั้น จณะเดียวกับพวกแดเนียลก็ต้องปกป้องชาวบ้านบนดินแดนแห่งนั้นให้พ้นจากภัยคุกคามของกองทัพราอีกด้วย

เนื้อเรื่องมันก็หลวมๆ จริงแหละครับ แต่ยอมรับว่าอย่างน้อยพวกพี่แกก็พยายามผูกตำนาน ผสมกันพอเหมาะ แม้ยังไม่กลมกล่อมนักแต่ก็รสชาติพอไหว

ถ้าว่ากันถึงความสนุกก็แล้วแต่คนครับ ถ้าชอบหนังไม่คิดมากบู๊กันอย่างเดียว ไม่ต้องการสาระหรือมิติตัวละครที่ลึกซึ้งก็ดูได้สบาย แต่ถ้าชอบอะไรที่มันมีเนื้อหนังหน่อยก็คงเฉยๆ น่ะ

พวกนักแสดงก็โอเคล่ะครับ Russell ก็เหมาะดีกับบททหารหาญที่ใช้กำลังถนัด แล้วก็น่าเชื่อว่าแกเป็นผู้นำได้ ส่วน Spader ก็มาดหนอนหนังสือเหมาะดีอีกเช่นกัน แต่รายที่ออกจะธรรมดาทั้งๆ ที่บทเปิดให้ทำความเด่นได้ตั้งมาก็หนีไม่พ้น บท เทพเจ้าราของ Jaye Davidson ที่เคยได้เข้าชิงออสการ์ตอนเล่น The Crying Game แววดีเชียวครับ แต่มาเรื่องนี้แค่เดินไปเดินมาเฉยๆ เสียดายคุณภาพเหมือนกัน ซ้ำคุณเธอยังหายไปเลย ไม่เล่นหนังอีก

คนที่ได้ประโยชน์ไปเต็มเม็ดก็ Emmerich และ Devlin นั่นแหละครับ ได้เงินได้โอกาสดีๆ เพียบหลังจากทำหนังเรื่องนี้ดัง แต่ผมว่าเรื่องนี้แกยังไม่แสดงความแม่นนัก ต้องเรื่อง Independence Day ขึ้นไปถึงจะเห็นอะไรชัดมากหน่อย

ทราบไหมครับว่าจริงๆ แล้ว Emmerich และ Devlin ว่าจะสร้าง Stargate เป็นหนังไตรภาค โดยภาคสองนี่จะเล่าถึงเหตุการณ์อีก 12 ปีต่อจากภาคแรกที่แดเนียลต้องค้นพบปริศนาที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อวงแหวนประตูมิติได้ปรากฎขึ้นอีกหนึ่ง แล้วก็นำไปสู่มิติอีกแห่งที่เชื่อมโยงเข้ากับตำนานอีกบทหนึ่งของอียิปต์ แล้วภาคสามก็จะสรุปว่าตกลงอารยธรรมอียิปต์เนี่ยไม่ใช่เกี่ยวกับอวกาศเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับมิติอื่นๆ อีกสารพัด ภาษาของอียิปต์ รูปภาพเฮียโรกริฟิกมีความลับซ่อนอยู่ รวมไปถึงเผ่าพันธุ์เทพราก็ไม่ได้มีเพียงราเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

แหม ได้ยินอย่างนี้แล้วสนใจอยากดูขึ้นมาทันทีเลยผม

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำครับ เพราะ ID4 ดัง แล้วยังมีโปรเจคท์อื่นๆ ตามมาอีกเพียบ จน Emmerich ไม่มีเวลากระดิกตัวไปภาคต่อเลย ทำให้โครงการไตรภาคเปลี่ยนครับ กลายมาเป็นซีรี่ส์แทน ซึ่งซีรี่ส์นี้เคยฉายที่ช่อง 3 อยู่สองสามปีมั้งครับ ออกมามันส์มากๆ เนื้อเรื่องผูกตำนานอีนุงตุงนังแต่ไม่มัว ขมวดได้อย่างน่าติดตาม ซึ่งขนาดคนมะกันยังฮิตอ้ะครับ ซีรี่ส์นี่ฉายต่อกันมาเป็น 10 ปี

แล้ว Stargate: SG-1 ฉบับซีรี่ส์นี่ฮิตมากจนต้องมีการแตกหน่อสร้าง Stargate: Atlantis ไปอีก ฮิตไม่ฮิตพิจารณากันเองเลยครับ

แต่พอมีการสัมภาษณ์ Emmerich แล้วพี่แกก็เปิดใจว่าอยากทำต่อให้ครบไตรภาค เพราะแกยังมีมุขทำภาคต่อสำหรับหนังโดยเฉพาะอีก แหม พี่ พูดซะน่าดูเลยนะครับ แต่คงไมได้ทำล่ะครับ งานมันเยอะอ้ะ แล้วแค่กินบุญจากซีรี่ส์ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ

โดยส่วนตัวผมว่าฉบับซีรี่ส์มันส์กว่าเยอะครับ คงเพราะมันร่ายได้ครบ ปมก็เข้มข้น ส่วนฉบับหนังก็เป็นระดับมาตรฐานเท่านั้นเอง

ก็แล้วแต่ล่ะครับ เหมาะกับคอไซไฟแอ็กชัน และแถมท้ายอีกนิดเป็นเกร็ดไว้นะครับ ว่านี่คือหนังเรื่องแรกที่มี The Official Website หรือเว็บของตนเองที่ได้ Devlin เป็นคนสร้าง ภายในก็มีภาพ, ตัวอย่างหนัง, คลิปเบื้องหลัง และข้อมูลนักแสดงครบ