IMDB : tt10872600
คะแนน : 8
Spider man no way home
หนังมันส์ สุดๆ ในใจซึ่งพร้อมจะระเบิดตู้มใหญ่ออกมาได้ตลอดทั้งเรื่อง ตลอดทั้งเรื่องมันเต็มไปด้วยน้ำตา รอยยิ้ม และความปลื้มปิติที่อัดแน่นอยู่ แฟนคลับสไปเดอร์แมนคือห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะนี่อาจจะเป็นสไปดี้ที่อิ่มที่สุด...... เท่าที่เคยดูมาเลยก็ได้
ดูเหมือนว่าชะตากรรม ของเพื่อนบ้านผู้แสนดีอย่าง ‘สไปเดอร์-แมน’ จะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นทุกที ๆ ครับ หลังจากที่รับงานฮีโรระดับเบอร์รองมาแล้วใน 2 ภาคก่อน ภาคนี้ในฐานะที่เป็นหนังในช่วงต้นของ MCU ในเฟส 4 ที่กำลังเดินหน้าปูพื้นเรื่องราวแบบ ‘พหุจักรวาล’ หรือ ‘มัลติเวิร์ส’ (Multiverse) เพื่อขยายขอบเขตวิธีการเล่าเรื่องให้กว้างกว่าแนวแอ็กชันแบบเดิม ซึ่งตอนนี้มีซีรีส์ใน Disney+ ที่ปูพื้นเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วทั้ง ‘Loki’ และแอนิเมชัน ‘What If…? ‘ ซึ่งซีรีส์ทั้งสองเรื่องนี้เป็นตัวสรุปอย่างชัดเจนว่า มัลติเวิร์สคือแกนหลักสำคัญและความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เหล่าฮีโรต้องรับมือให้ได้ ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าความโกลาหลนั้นได้ปรากฏชัดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และไอ้แมงมุมก็ถือว่าเป็นฮีโรตัวแรก ๆ ที่ต้องรับผลแห่งความโกลาหลนี้แบบชัด ๆ
สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่าสไปเดอร์แมนเวอร์ชันทอมฮอลแลนด์เป็นเวอร์ชันที่เราชอบน้อยที่สุดแล้ว เรารู้สึกว่าปีเตอร์นี้เด็กมากๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น แล้วดูเหมือนชีวิตเค้าจะวนอยู่แค่กับเรื่องเพื่อน เรื่องโรงเรียน เรื่อง MJ หรือเรื่องการเป็นติ่งอเวนเจอร์ เราไม่ค่อยได้เห็นความจริงจังในความเป็นฮีโร่ของเขาซักเท่าไหร่นัก
เราชอบนะ ในการที่มาร์เวลตีความสไปเดอร์แมนในรูปแบบของหนัง coming of age มีโทนี่คอยดัน คอยดูแล และเห็นสไปดี้ในความเป็นเด็ก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเฝ้ารอวันที่สไปเดอร์แมนเวอร์ชันนี้จะเติบโต และคู่ควรกับการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่คู่ควรกับโควทอันทรงคุณค่าอย่าง ‘พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’ นี่ซักที และในที่สุด วันนี้ก็มาถึง
สิ่งนึงที่เราชอบมากๆ ในภาคนี้คือการที่ได้เห็นปีเตอร์เติบโตขึ้นแบบมากๆ หลังจากที่ภาคก่อนๆ ยังเป็นเด็กน้อยสไปเดอร์แมนที่ไม่รู้ประสีประสา สร้างความวุ่นวายทั่วไปหมด (จริงๆ ภาคนี้ก็เช่นกัน55555) แต่ภาคนี้เค้าเรียนรู้ เติบโต และกล้าหาญ พร้อมที่จะเสียสละในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ คือเรามองเห็นเขาพร้อมที่จะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างรุ่นพี่ในฐานะทีมคนนึงได้แล้ว ไม่ใช่เด็กดันของโทนี่อีกต่อไป
ในภาคนี้เราได้เห็นการส่งอารมณ์ที่รุนแรงของทอม ฮอลแลนด์ และก็ต้องยอมรับว่าโมเม้นการส่งอารมณ์ของเขาดีมากๆ จริงๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความโกรธ ความเข้าใจของเขามันชัดเจนและมีพลัง เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่สไปดี้คนเดิมแล้ว มันดีมากจริงๆ (แต่คงไม่ไปถึงออสการ์แบบที่น้องทอมโม้ไว้ ฮ่าาาา)
เรื่องของพล็อตเราว่ามันอาจจะยังเล่นได้ไม่มากพอ ทุกอย่างเหมือนรีบเข้ามาแล้วก็ต่อไปมากไปนิดหน่อย เลยทำให้อารมณ์และแก่นของพล็อตอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รวมถึงซีนแอคชันที่ไม่ได้สนุกตื่นเต้นมากขนาดนั้น เลยทำให้ส่วนนี้ค่อนข้างจางไปนิดนึงสำหรับเรา (เราคิดว่าซีนแอคชันต่างๆ มันจะไปเยอะกว่านี้มากๆ พอสู้เสร็จมันเลยมีคำว่า ‘แค่นี้เหรอ’ แอบแว้บเข้ามาในหัวนิดหน่อย)
ความเป็นมัลติเวิร์สจากทีเซอร์ไม่ได้เล่นอะไรโดดเด่นมากในภาคนี้ เหมือนเป็นอารัมภบทที่ยกให้สไปดี้ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในหมอแปลก 2 ซะมากกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ ที่เอาสไปเดอร์แมนมาเป็นตัวเปิดให้หมอแปลก เพราะความเป็นสไปเดอร์แมนเนี่ยมันเล่นกับมัลติเวิร์สได้ดีมากๆ ฉลาดมากๆ ที่เล่นแบบนี้ ได้ทั้งใจคน ได้ทั้งต่อเนื้อเรื่อง
ส่วนเรื่องราวในภาคนี้ก็จะเล่าต่อจาก End Credits ตัวแรกที่ทิ้งเอาไว้ในภาคก่อนหน้า (Spider-Man : Far From Home (2019)) ซึ่งถ้าใครที่ยังไม่ได้ดู ก็ต้องขอเบรกให้ไปหาดูก่อนให้เรียบร้อยก่อนนะครับ (ทั้งสองภาคมีให้ดูใน HBO GO) เพราะว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะเริ่มต้นมาจาก End Credits ตัวนั้นแหละ หลังจากที่สไปเดอร์แมนสามารถโค่น ‘มิสเทริโอ’ (Jake Gyllenhaal) ได้สำเร็จ
สิ่งสำคัญที่ทำให้ NWH ควรค่าแก่การมาดูคือเซอร์วิสที่ดีงามมากๆ เหมือนผู้กำกับเค้ารู้แหละว่าคนดูอย่างเราอยากเห็นอะไร เรียกได้ว่าใส่มาสุดไม่มีอั้น ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ดูสิ่งนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยความอิ่มฟูของความรู้สึกที่มีต่อความเป็นสไปเดอร์แมนแบบมากๆ หนังเค้าใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่มีคุณค่าต่อแฟนหนัง และถ่ายทอดมันออกมาได้ดี น่าประทับใจ และเราคิดว่าความรู้สึกนี้มันจะอยู่ในใจเราไปได้อีกนาน