IMDB : tt0089374
คะแนน : 8
ย้อนกลับไปในช่วง ยุค 80 เป็นยุคทองของภาพยนตร์ฮ่องกง เป็นยุคที่มีหนังออกมามากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว จนสามารถเรียกได้ว่า “ล้นตลาด” ที่ดีก็มีเยอะ ที่แย่ก็มีมาก ถ้าเรื่องไหนดังมาก จะมีการก๊อปปี้แนวคิด ธีมเรื่องแตกแยกย่อยไปเป็นของตัวเอง เป็นยุคของ ฉีเคอะ และ จอนห์ วู สามารถทำเงินให้ค่ายหนังมากมาย รวมไปถึงนักแสดงที่ยังคงเป็นตำนานจนถึงปัจจุบันอย่าง โจวเหวินฟะ , หงจินเป่า , แซม ฮุย , เจิ้งจื้อเหว่ย , หลิวเต๋อหัว , เลสลี่ จาง ,หลี่เหลียงเหว่ย และคนอื่นๆอีกมากมาย
รวมไปถึง “เฉินหลง” หรือ “แจ๊คกี้ ชาน” ก็แจ้งเกิดในหนังแอคชั่นตลกเสี่ยงตาย ที่มีนักวิจารณ์หนังในฮ่องกงถึงกับยกให้เป็นก้าวใหม่ของหนังแอคชั่นฮ่องกง ที่เดินเรื่องเรียบง่าย ขายความสนุกเพียวๆ กับภาพยนตร์เรื่อง “Police Story” หรือ “วิ่ง สู้ ฟัด”
“วิ่ง สู้ ฟัด” เป็นผลงานการกำกับของ เฉินหลง ที่ออกแบบ และลงเล่นคิวบู๊แบบไม่ใช้ตัวแสดงแทนทั้งเรื่อง (บางซีนพี่แกถึงกับกระดูกร้าว กรามหลุด หรือหยุดหายใจไปเลยก็มี) แถมยังมีเนื้อหาเป็นการตีแผ่ เสียดสีวงการตำรวจในฮ่องกงยุคสมัยนั้นได้อย่างเจ็บแสบอีกด้วย ทั้งการทำงานภายใต้คำสั่งของพวกอังกฤษ การทำงานแบบเช้าชามเย็นชามของตำรวจฮ่องกง รวมไปถึงเรื่องราวของผู้มีอิทธิพลที่พยายามจะเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย (หลังยุค “เป๋ห่าว” หมดอำนาจ พวกมาเฟียก็เริ่มสร้างอิทธิพล)
อีกหนึ่งสาเหตุที่เฉินหลงเลือกใช้ชื่อหนังแบบเรียบง่ายว่า Police Story ก็เพราะว่า เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจอย่างจริงจังในมุมสนุกสนาน เหมือนกับชีวิตตำรวจน้ำดีคนหนึ่งที่ต้องการต่อสู้กับความชั่วร้ายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นความแตกต่างของหนังแอคชั่นฮ่องกงทั่วๆไปในยุคนั้นที่เน้นเรื่องของมาเฟีย เจ้าพ่อ หรือ โลกทรชนเสียมากกว่า
ฉากไล่ล่าในตำนานที่หลายๆคนจำได้ไม่เคยลืม กับ “การต่อสู้ในห้างสรรพสินค้า” ที่จัดเต็มทั้งพร๊อบ + คิวบู๊ความยาว 7 นาทีแบบ Non-Stop ไม่ใช้สลิง+ ถ่ายทำแบบ “เทคเดียว” (แต่ใช้หลายมุมกล้อง) และปิดท้ายด้วยซีนการกระโดดรูดเสาลงมาจากชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า ลงมาเพื่อจับบิ๊กจู๋วายร้ายของเรื่อง โดยซีนนี้เฉินหลงมีอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน และกรามหลุดจากแรงกระแทก ซึ่งมาตรวจพบเอาหลังจากถ่ายทำซีนดังกล่าวเสร็จแล้ว
ถึงแม้ว่าเฉินหลงจะไม่ใช้สตั๊นท์เลยในการแสดงทุกซีน แต่กับดาราสาวอย่าง หลินชิงเสีย กลับใช้สตั๊นท์เปลืองมากๆ เพราะมีนักแสดงแทนเจ็บตัวเยอะมากในซีนดังกล่าว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกทีมงาน และผู้เกี่ยวข้องเรียกกันติดตลกว่า “The Glass Story” เพราะในเรื่องส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยซีนที่มีกระจกแตก ทั้งพุ่งเข้าหา การตกจากที่สูง การฟาดฟันจนกระจกแตกไปหลายบาน แน่นอนว่ากระจกที่แตก กว่า90% เป็น “กระจกที่ทำจากน้ำตาล” แล้วใส่เสียงเอฟเฟ็กต์เอาทีหลัง
ตัวหนังได้รับคำชื่นชมมากมาย และยังคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงสาขา “งานภาพยอดเยี่ยม” เป็นรางวัลแรก และรางวัลเดียวในชีวิตของเฉินหลงในฮ่องกงเกี่ยวกับงานภาพอีกด้วย ซึ่งนอกจากรางวัลแล้ว ตัวหนังเองก็ทำรายได้ที่ฮ่องกงสูงถึง 26,626,760 เหรียญฮ่องกง ในยุคที่ค่าตั๋วหนังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญฮ่องกงเท่านั้น
และนี่คือความเจ๋งของหนังฮ่องกงในตำนานจากยุค 80 ที่แอดมินชื่นชอบ และหยิบมาให้ได้อ่านกันเพลินๆครับ จริงๆมีหนังฮ่องกง หนังจีนมากมายที่แอดมินอยากเอามาเล่าสรุปย่อๆพร้อม Fact สนุกๆแบบนี้เรื่อยๆ ยังไงก็ขอฝากติดตามกันด้วยนะครับ