ค้นหาหนัง

Overlord : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

Overlord : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
เรื่องย่อ : Overlord : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

กลุ่มทหารอเมริกาที่อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาได้รับมอบหมายให้ไปถล่มหอส่งวิทยุที่อยู่ ณ ชายหาดหมู่บ้านแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสที่ทหารเยอรมันยึดครองอยู่ ความโชคร้ายเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านท่ามกลางสมรภูมิที่กำลังเดือด และพบว่าใต้ฐานทัพนั้นเองมีการทดลองลับของฝ่ายนาซีอยู่ นำพาความสะพรึงและสยดสยอง แต่ศัตรูของทีมโอเวอร์ลอร์ดไม่ได้มีแค่ทหารฝั่งนาซี แต่ยังมีผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการทดลองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่พร้อมจะทำให้ภารกิจนี้ล้มเหลวได้ทุกเมื่อ เรื่องราวจะเป็นยังไงไปชมกันเลย

IMDB : tt4530422

คะแนน : 7



พบกับแหล่งที่มาของเหล่าปีศาจ ผลงานของผู้สร้าง เจ.เจ.แอบรัมส์

เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงช่วงเวลายกพลขึ้นบก ทีมทหารพลร่มอเมริกัน กระโดดร่มลงสู่พื้นในฝรั่งเศสที่อยู่ในพื้นที่ยึดครองของนาซี เพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญต่อความสำเร็จในการรุกเข้าสู่เขตศัตรู กับภารกิจการทำลายเครื่องส่งคลื่นวิทยุที่อยู่เหนือโบสถ์ที่แข็งแกร่งดั่งป้อมปราการ กลุ่มทหารที่สิ้นหวังผนึกกำลังกับชาวบ้านชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เพื่อเจาะผ่านกำแพงและทลายหอคอย แต่ในห้องทดลองลับของพวกนาซีที่อยู่ใต้โบสถ์แห่งนี้ ทหารจีไอที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน จากการดูแลงานผลิตโดยผู้อำนวยการสร้าง เจเจ อับรามส์ Overlord คืองานแอ็กชั่นผจญภัยที่ทำให้หัวใจเต้นตึกตัก และมาพร้อมจุดหักมุม

หนังเคยถูกเข้าใจว่าเป็นภาคหนึ่งในตระกูล Coverfield เพราะด้วยความที่เป็นหนังของ Bad Robot ค่ายหนังของ เจ.เจ. อับรามส์ ยิ่งตัวโปรเจ็กต์ผุดขึ้นมาแบบไม่มีเค้าใดบอกมาก่อน ยิ่งความลับเยอะก็ยิ่งทำให้แฟนคิดคาดไปว่าหนังน่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวใน Coverfield ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วเวลาก็ผ่านไปแล้วเปรี้ยงลงมาเป็นหนังซอมบี้ยุคสงครามโลกที่แยกเป็นเอกเทศของตัวเองในชื่อ Overlord นี่เอง

ว่ากันตามตรงความน่าสนใจของหนังก็คงเป็น

  1. เป็นหนังในค่าย เจ.เจ. ที่ไม่เคยคาดเดาง่ายและทำเราผิดหวังยาก จริง ๆ แค่ข้อนี้ผมก็อยากดูแล้วนะ แต่สำหรับหลายคนก็คงบอกว่าธรรมดากว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ปะชื่อ เจ.เจ. ซึ่งก็ธรรมดาจริง ไม่ได้มีพล็อตเว่อวัง เหวอแตก หรือหักมุมอะไรทั้งสิ้น หลายฉากหลายช่วงออกจะไร้ตรรกะด้วยซ้ำ ยิ่งพวกสายสงครามโลกอาจดูไปด่าไปได้เลยล่ะ ตั้งแต่เรื่องคนดำเป็นพลร่มแล้ว แต่ถ้าไม่ซีเรียสหนังก็ให้บรรยากาศสงครามโลกที่ดิบดุดันดีเหมือนกันนะ

     

  2. พล็อตซอมบี้สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจเก่าในสื่ออื่นเช่นเกม และอีกหลายต่อหลายเรื่อง และกับหนังมันก็มีหนังหลายเรื่องที่ให้อารมณ์ใกล้เคียง แต่ไอเดียของ บิลลี่ เรย์ ที่เคยเขียนบท The Hunger Games และ Captain Phillips ก็ทำให้ เจ.เจ. ที่จริง ๆ ก็คงผ่านหูผ่านตากับพล็อตแนวนี้ในสื่อใด ๆ มาเยอะยังเอ่ยปากว่า สนุก! แถมสมทบไปอีกว่าเหมือนได้ ร็อด เซอร์ลิ่ง ผู้ให้กำเนิดซีรีส์สยองสุดคลาสสิกอย่าง The Twilight Zone มาคิดอีกต่างหาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าหนังก็พยายามหาที่ทางของตัวเองนะ เพราะแทนที่จะแฟนซีจ๋าแบบซอมบี้ หนังดันหนักเรื่องภารกิจเสี่ยงตายมากกว่า เรื่องซอมบี้เหมือนเป็นอุปสรรคสำคัญเท่านั้น มากกว่าที่จะบอกได้ว่ามันคือหนังซอมบี้ ใครชอบสายสงครามน่าจะชอบกว่าคนชอบสายซอมบี้เพียว ๆ

  3. หนังเป็นฝีมือการกำกับของ ผู้กำกับที่โด่งดังในออสเตรเลียอย่าง จูเลียส แอฟเวอรี่ จาก Son of a Gun ซึ่งชำนาญในการเล่าเรื่องให้คนดูผูกพันกับตัวละคร ซึ่งจำเป็นกับตัวหนัง Overlord มาก ที่จะค่อย ๆ พาเราติดตามภารกิจของกลุ่มทหารอเมริกันแบบใน Saving Private Ryan แล้วค่อย ๆ บิดไปสู่ความเป็นหนังแฟนตาซีธริลเลอร์อย่าง ซอมบี้ ซึ่งหนังหลายเรื่องพล็อตมาแบบนี้ก็มักพลาดตกม้าตายกับการยัดฉากแอ๊กชั่นจนลืมไปว่าคนดูยังไม่ได้อินกับตัวละครเลยเฟร้ยไป แต่กับเรื่องนี้แม้เริ่มเรื่องจะตัวละครยุ่บยั่บ แต่เอาจริงก็มีตัวหลัก ๆ แค่ 4-5 คนเท่านั้น ก็ตามได้สบาย ๆ ล่ะนะ แล้วด้วยความอ่อนด๋อยของตัวเอกอย่างทหารผิวดำ หลายครั้งเราก็อดเอาใจช่วย และบางครั้งก็หงุดหงิดโคตร ๆ ในความโลกสวยของนางเหมือนกัน ยังดีว่ามีตัวเอกหลายตัวให้เราเอาใจช่วยด้วย 55