IMDB : tt0101020
คะแนน : 7
ผลงานแอ็กชัน+ชีวิต+ตลกนิดๆ โดย John Woo ครับ ซึ่งแฟนๆ ขาประจำดูแล้วอาจรู้สึกว่าหนังมันไม่ค่อย Woo สักเท่าไร เพราะอะไรต่อมิอะไรมันดูเบา ไม่เข้มข้นหนักเครื่องเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งจริงๆ มันก็มีสาเหตุครับ และเหตุที่ว่าก็มาจากเรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นเอง
แม้ Woo จะประสบความสำเร็จอย่างมากในยุค 80 โดยเฉพาะกับผลงาน โหด เลว ดี (A Better Tomorrow) ทั้ง 2 ภาค และ โหดตัดโหด (The Killer) ที่ทำเงินระดับ 20 – 30 ล้านเหรียญฮ่องกงด้วยกันทั้งนั้น แต่พอผลงานถัดมาอย่าง โหดแตกเหลี่ยม (Just Heroes) และ กอดคอกันไว้ อย่าให้ใครเจาะกะโหลก (Bullet in the Head) กลับทำเงินไปไม่ถึง 10 ล้าน แม้เรื่องหลังจะได้รับคำชมเยอะก็ตาม แต่พอหนังไม่ทำเงินก็ทำให้ Woo เสียรังวัดไปไม่ใช่น้อย เขาเลยจำต้องหันมาทำหนังที่มันเบาขึ้น ตลาดขึ้น และดูง่ายขึ้นเพื่อกู้สถานการณ์ ผลก็เลยออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ
ตีแสกตะวันว่าด้วยเรื่องของ 3 เด็กกำพร้านามว่าโจ (โจวเหวินฟะ), จิม (เลสลี่ จาง) และเชอรี่ (จงฉู่หง) ที่ถูกชุบเลี้ยงโดยเฮียโจว (Kenneth Tsang) ขโมยมืออาชีพที่ปั้นทั้งสามคนขึ้นมาเพื่อทำงานฉกชิงและโจรกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งทั้ง 3 ก็ทำเงินให้เฮียโจวอย่างมากครับ แต่ขณะเดียวกันโชคชะตาก็พาพวกเขาให้ไปรู้จักกับนายตำรวจตงฉินคนหนึ่ง (จูเจียง) ที่เกิดต้องชะตาและดูแลพวกเขา โดยคอยแนะนำทางที่ดีและสิ่งที่ถูกให้
พอพวกเขาโตขึ้นก็เกิดรักสามเส้าขึ้นมาครับ โจกับเชอรี่รักกัน โดยมีจิมที่แอบชอบเชอรี่อยู่ห่างๆ แต่แล้วจากนั้นในงานโจรกรรมภาพเขียนที่ปราสาทแห่งหนึ่งก็ได้กลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้โจต้องบาดเจ็บสาหัส ส่วนจิมก็ถือโอกาสนี้ในการดูแลเชอรี่แทน โดยเชอรี่เข้าใจไปว่าโจตายแล้ว ส่วนจิมแม้จะรู้ความจริงแต่เขาก็เลือกที่จะปิดบังไว้ เพราะไม่อยากสูญเสียเชอรี่ไป
แล้วเมื่อพวกเขามาพบกันอีกครั้งเรื่องราวจะลงเอยเช่นไร ก็เชิญไปติดตามกันต่อได้นะครับ
จริงครับที่หนังไม่ได้เข้มข้นอะไรมาก บทก็ไม่ซับซ้อนดูได้แบบง่ายๆ บางช่วงก็ดูอ่อนเหตุผลไปบ้าง หรือแง่มุมด้านมิตรภาพอาจไม่ลึกซึ้ง แต่ถ้าถามว่าดูสนุกไหมก็ยังถือว่าดูสนุกอยู่ครับ
เราอาจต้องบอกตัวเองว่าอย่าเอาชื่อและผลงานของ John Woo มาเป็นบรรทัดฐาน แต่ให้เอาหนังบู๊ฮ่องกงทั่วไปมาเป็นบรรทัดฐานก็พอ ซึ่งก็จะพบว่าหนังดูเพลินดีครับ แอ็กชันแม้จะไม่เปี่ยมสไตล์หรือมันส์สะใจแบบสุดๆ แต่ก็เร้าใจไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะช่วงไล่ล่าตอนกลางเรื่องหรือตอนปะทะกันในตอนท้าย ก็ดูมันส์ๆ โม้ๆ เพลินดีครับ
อารมณ์ขันก็แทรกลงมาแบบพอเหมาะ ดาราในเรื่องก็เล่นลื่นไปตามบท อย่างเฮียโจวเหวินฟะนี่ก็พริ้วดีครับ ยิ่งช่วงท้ายนี่พริ้วได้โล่ห์ แม้จะต้องอยู่บนรถเข็นก็เถอะ เล่นได้ทั้งยามฮาและยามบู๊ ส่วนเลสลี่ จางผู้ล่วงลับบทอาจดูธรรมดาไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังโอเค ในขณะที่ จงฉู่หง นี่บทบาทไม่มากเท่าไรซึ่งนี่ก็เป็นงานแสดงเรื่องสุดท้ายของเธอด้วยครับ
คนที่เด่นจริงๆ นอกจากเฮียโจวแล้วก็คงเป็นจูเจียงที่เล่นบทตำรวจพ่อบุญธรรมได้น่ารักดีครับ บางฉากนี่ฮาแบบเนียนๆ ไปเลย ส่วน Kenneth Tsang นี่ก็ได้มาตรฐานอยู่แล้วครับกับบทเจ้าพ่ออะไรมาณนี้ แววตาท่าทางยามแกเหี้ยมนี่ได้ใจเสมออยู่แล้วครับ
ดูๆ ไปผมก็รู้สึกชอบนะครับ แม้จะไม่มันส์ ไม่บู๊สวยเท่ห์ หรือไม่เข้มข้นได้ใจเท่า โหด เลว ดี หรือ โหดตัดโหด แต่ก็ดูสนุกแบบเบาๆ ไม่เครียดอะไรมาก เรียกว่าดูเอาสนุกอย่างเดียวเลยครับ
และที่ผมชอบเป็นพิเศษคือลูกเล่นตอนพวกพระเอกโจรกรรม ดูแล้วนึกถึง Mission: Impossible ขึ้นมาเลย อย่างฉากโจรกรรมในปราสาท จะมีฉากหนึ่งครับที่ท่านต้องนึกถึง Mission แน่นอน หรือการใช้ไวน์แดงมองแสงอินฟาเรด ใช้ไฟแช็กกับบุหรี่เบนความสนใจ อะไรเหล่านี้มันดูเจ๋งน่ะครับ ทำให้เชื่อได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาคือมือเซียนในการโจรกรรมจริงๆ ทุกอย่างรอบตัวสามารถนำมาใช้แก้สถานการณ์ (ยามเกิดปัญหา) หรือสร้างสถานการณ์ (เพื่อป่วนฝ่ายตรงข้าม) ได้ทั้งสิ้น ซึ่งจากจุดนี้ผมว่าคนเขียนบทก็ใช้กึ๋นไม่ใช่น้อยล่ะครับในการสร้างสรรค์อะไรเหล่านี้ขึ้นมา
ฉากบู๊ตอนไคลแม็กซ์ก็ลูกเล่นสนุกดีครับ แม้มันจะดูไม่เข้ากันบ้างระหว่างคิวบู๊กับอารมณ์ขันในบางจังหวะ แต่ก็เพลินครับ อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่คิวบู๊ยิงกันแบบผ่านมาแล้วผ่านไป มันยังมีอะไรให้จดจำบ้าง ให้พอไม่เสียชื่อคนทำนามว่า John Woo
แล้วหนังก็ประสบความสำเร็จไปแบบล้นหลามครับ โกยไป 33.4 ล้านเหรียญฮ่องกง ทำเงินเท่ากับผลงาน 3 เรื่องก่อนหน้าของ Woo รวมกันน่ะครับ (The Killer, Just Heroes และ Bullet in the Head) ถือเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดจริงๆ ครับ
จากความสำเร็จของ Once a Thief ทำให้ Woo มีอิสระในการทำหนังเรื่องต่อไปมากขึ้น อันนำมาสู่หนังแอ็กชันที่มันส์สะใจโคตรๆ อย่าง ทะลักจุดแตก (Hard Boiled)
สรุปว่าดูได้ไม่ผิดหวังครับ