ค้นหาหนัง

On Deadly Ground | ยุทธการทุบนรกหมื่นฟาเรนไฮต์

On Deadly Ground | ยุทธการทุบนรกหมื่นฟาเรนไฮต์
เรื่องย่อ : On Deadly Ground | ยุทธการทุบนรกหมื่นฟาเรนไฮต์

ฟอร์เรสต์ แทฟต์ พนักงานบริษัทน้ำมันที่ผันตัวเองมาเป็นนักต่อสู้เพื่อธรรมชาติ เขาต้องต่อสู้กับเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันจอมเห็นแก่ตัวอย่าง ไมเคิล เจนนิ่งส์ (Michael Caine) ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดความฉ้อฉลในธุรกิจน้ำมันของเขา เพราะมันเต็มไปด้วย เรื่องสกปรก กลโกง ไหนจะการใช้เครื่องจักรที่ใช้ด้อยคุณภาพอีก เรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตน เห็นแก่ตัวแบบเกินร้อย ทีนี้เมื่อฟอร์เรสต์ต้องการจะเปิดโปงความจริง ไมเคิลก็เลยต้องสั่งเก็บเขาซะ แต่ก็คงเดาได้น่ะนะครับว่าฟอร์เรสต์ของเราไม่ตายง่ายๆ และกลับมาเป็นหอกข้างแคร่ในการล้มบริษัทเอจิส ออยล์ของไมเคิล เจนนิ่งส์

IMDB : tt0110725

คะแนน : 4



ตัวหนังนั้น คนด่ากันยับ สับกันแหลกครับ เข้าชิงรางวัลราสซี่ บางสำนักก็ยกให้เป็นหนึ่งในหนังยอดแย่แห่งปี 1994 ส่วนผมนั้นก็ว่ามันโอเคนะ คือแน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดของพี่ Seagal แน่ๆ จำได้รอบแรกที่ดูก็รู้สึกเรื่อยๆ ไม่ได้ชอบอะไร ครั้นพอเวลาผ่านไปสักเกือบ 20 ปี ผมก็เอามาดูอีกรอบ (ที่ผมเขียนตอนนี้คือปี พ.ศ. 2561 / ปี 2018 ครับ) ผมก็รู้สึกว่ามันโอเคอยู่

ส่วนหนึ่งอาจเพราะผลงานระยะหลังๆ ของพี่ Seagal มันไม่โอเคเท่าไรน่ะครับ เลยทำให้มุมมองที่ผมมีต่อหนังมันเปลี่ยนไป ประมาณว่าสมัยก่อนหนังพี่ Seagal ยังมีที่ดีๆ ออกมาเรื่อยๆ ดังนั้นพอเราเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องเหล่านั้น (อย่างพวก Under Siege หรือ Above the Law) มันเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย

แต่พอมาปัจจุบัน หากเอาเรื่องนี้ไปเทียบกับหนังของพี่ Seagal ที่ทำออกมาในระยะหลัง (ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา) ก็บอกได้เลยครับว่าเรื่องนี้ยังเวิร์กกว่า ดูมีฟอร์มและน่าสนใจกว่า

ส่วนหนึ่งที่ผมเคยรู้สึกเฉยๆ กับหนังเรื่องนี้ในสมัยก่อน คงเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้กระหน่ำบู๊อะไร และยังมีวาระอืดในตอนกลางๆ ด้วยครับ ประมาณว่ามันจะมีช่วงที่ฟอร์เรสต์โดนทำร้าย แล้วก็ได้ชนเผ่าเอสกิโมช่วยไว้ ช่วงนี้มันจะมีจุดช้าบ้าง เพราะมันเต็มไปด้วยบทสนทนาแฝงสาระ สนทนาแบบเปรียบเปรยโดยผสมเอาความเชื่อของเอสกิโมลงมา ดังนั้นก็ไม่แปลกครับหากผมซึ่งคาดหวังในเรื่องแอ็กชันจากหนังพี่ Seagal จะรู้สึกผิดที่ผิดทางกับอะไรแบบนั้น (ประมาณว่าอยากดูแอ็กชัน ไม่ได้อยากดูปรัชญา อารมณ์นั้นน่ะครับ)

ครั้นพอโตขึ้น เอามาดูอีกรอบ ผมก็โอเคกับมันมากขึ้นครับ อย่างแรกที่ชอบคือเสียงพากย์ไทยแบบดั้งเดิม (นำโดยพี่จักรกฤษณ์) เป็นการพากย์ที่เหมาะสมได้อารมณ์อย่างยิ่ง มันทำให้คิดถึงวันเก่าๆ น่ะครับ

ส่วนพล็อตตอนกลางๆ ที่ผมเคยรู้สึกว่ามันอืด ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันคือสารที่พี่ Seagal ต้องการจะสื่อ หลายฉากมันตรงไปตรงมาดีน่ะครับ อย่างตอนที่ฟอร์เรสต์ตัดสินใจจะลุยกับพวกเรจิส ออยล์ แบบกะจะไปถล่มมัน มาซู (Joan Chen) นางเอกของเรื่องก็พยายามค้าน บอกให้เขาเอาเรื่องไปบอกนักข่าวแล้วให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปดีกว่า

ฟอร์เรสต์เลยตอบประมาณว่า เรายังเชื่อในกระบวนการยุติธรรมได้อีกหรือ? เราจะไปหวังให้เทพ เทวดาที่ไหนมาแก้ไขเรื่องนี้ได้? เพราะเทพ เทวดาช่วยได้ พวกท่านก็คงไม่ปล่อยให้เอจิส ออยล์ทำลายธรรมชาติที่บรรพบุรุษของขนพื้นเมืองพยายามรักษา ไม่ปล่อยให้พวกนั้นฆ่าคนเป็นผักปลาเพื่อปกปิดความชั่วของมัน

ผมชอบครับ มันตรงดี และพอมองซ้ายขวาไปที่โลกทุกวันนี้ ก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ… เราจะรอฟ้ารอฝนรอเทพมาแก้ปัญหากันอีกนานเท่าไร? มันจะแก้ได้ไหมหากเราไม่ลงมือทำเอง?

ในแง่ประเด็นสะท้อนสังคม พี่ Seagal แกใส่ลงมาได้สะใจในระดับหนึ่งครับ มันตรง มันแรงเหมือนกันในบางฉาก อย่างคาแรคเตอร์ของไมเคิล เจนนิ่งส์ที่เป็นพวกตีสองหน้าแบบชัดเจน ประมาณว่าตอนออกสื่อก็ทำหน้าตายิ้มแย้ม ทำโฆษณาออกมาประชาสัมพันธ์ว่าบริษัทของฉันนี้ “รักโล๊กกกก รักโลก” แต่เอาเข้าจริงพี่แกโกงหนัก กินหนา ทำทุกอย่างเพื่อเงินและการกอบโกย

เป็นการด่าเจ้าของธุรกิจตีสองหน้าแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรในหนังสมัยนั้น

แต่หากว่ากันในแง่แอ็กชันแล้ว ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ความสะใจอาจจะยังไม่มาก ซึ่งข้อด้อยประการหนึ่งของหนังพี่ Seagal (ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้) คือตัวละครพี่แกมักเทพเกินไป ประมาณว่า ต่อยกับใครไม่เกิน 10 วิ หมอนั่นก็ม่อยกะรอกไปแล้วน่ะ) ความมันส์เลยน้อยลงไป นี่แหละครับข้อเสียอย่างหนึ่งในหนังของพี่เขา พี่แกทำตัวออกมาเก่งเกินไปน่ะ คนดูเลยหมดลุ้นกันพอดี เหมือนหนังพี่เจสันน่ะครับ รู้ว่ายังไงๆ พี่แกก็ไม่ตายซะที ต่อให้โดนไฟเผาหรือไงก็ตามเถอะ

และที่ออกจะขำคือ บทพูดของตัวละครฝ่ายผู้ร้ายหลายครั้งก็ออกแนวยัดเยียดประมาณว่า “ฟอร์เรสต์เป็นคนเก่งมาก พระกาฬมาก เทพมาก” คือถ้ามีไม่กี่หนก็ว่าไปอย่างครับ แต่นี่ตัวร้ายทุกคนพูดเหมือนกัน เหมือนจงใจอวยตัวเอกเกิน ยิ่งพี่แกมากำกับอีก ก็เหมือนอวยตัวเองน่ะครับ (5555)

อีกอย่างถ้าจะว่าไปแล้ว ผมว่าเรื่องนี้ฟอร์เรสต์นี่พอๆ กับเจสันเลยนะ คือฆ่าคนไปเยอะมาก เคยมีคนนับได้ประมาณ 40 คนครับ

ฉากท้ายเรื่อง ที่พี่แกพล่ามตั้งยาวเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ แม้มันจะยัดเยียดไปหน่อย แต่ก็จริงใจดีครับ ผมชอบตรงที่เขาพูดออกมาตรงๆ เลย ไม่ต้องมาอ้อมค้อม และที่สำคัญคือที่พี่แกเอามาพูดนั้นมันจริงหมดนะ ไม่ว่าจะเรื่องความฉ้อฉลในธุรกิจน้ำมัน, ปัญหามลภาวะที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ, การปกปิดนวัตกรรมบางอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม (ประมาณว่าถ้าพลังงานแบบอื่นใช้ได้ พวกบริษัทน้ำมันก็จะได้รับผลกระทบ เลยต้องปิดปากปิดหูผู้คน และโปรโมตให้คนเน้นการใช้น้ำมัน) ไหนจะการซูเอี๋ยกันระหว่างนายทุนกับนักการเมืองอีก จุดนี้โดยส่วนตัวแล้ว เป็นฉากหนึ่งที่ผมชอบนะ แม้มันจะเชยก็ตาม

อีกอย่างดนตรีของ Basil Poledouris ผมว่าดีมากๆ เลยล่ะครับ (ถึงขนาดละครบ้านเราและหนังจีนชุดหลายเรื่องเอามาใช้กันแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าทีเดียว)

ด้านดารานั้น เขาคัดดาราคุณภาพมานะฮะ Caine นี่มือพระกาฬอยู่แล้วน่ะ แต่บทก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ตัวละครที่ว่านี้มีมิติแต่อย่างใด มาชั่วอย่างเดียวอีกแล้วล่ะครับ แต่จะว่าไปพี่แกก็เหมาะน่ะแหละ แววตาก็บอกแล้วว่าเห็นแก่ตัวแค่ไหนน่ะ ผมว่าดูเหมาะกว่า Jeremy Irons ที่เป็นตัวเลือกแรกซะอีกนะครับ ส่วนนางเอกของเรื่องอย่าง Joan Chen ก็เป็นดารามีฝีมือพอตัวครับ แต่บทไม่เปิดให้ทำอะไรน่ะสิ (อันนี้โยนความผิดให้ผู้กำกับ ซึ่งก็คือพี่ซีเก้าได้เลยครับ เห็นได้ชัดว่าพี่แกยังมือไม่แม่นจริงๆ)

ก็สรุปตรงๆ แบบมาตรฐานชาวบ้านนะครับ ว่าหนังไม่ได้สุดยอดอะไร แอ็กชันก็ไม่ได้สะใจ แต่หากมองในแง่ว่านี่เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่คนทำแทรกประเด็นที่มันตรงๆ แสกหน้าๆ ก็นับว่าโอเค

ส่วนในฐานะแฟนพี่ซีเก้า มันก็น่าลองครับ คิดซะว่าลองมารู้จักพี่ซีเก้าในฐานะผู้กำกับอีกหน่อยก็แล้วกัน (ท่าทางแกคงจะได้กำกับเรื่องเดียวด้วยล่ะครับ)