Nick of Time | ผ่าเส้นตายเฉียดนรก

ใครชอบหนังสไตล์แข่งกับเวลาแบบ 24 หรือ สไตล์ที่ตัวเอกต้องมาเจอกับสถานการณ์จนตรอกแข่งกับเวลาเพื่อเอาชีวิตรอดและหาทางช่วยชีวิตคนแบบ Red Eye หรือ Cellular ก็เห็นทีว่าผมต้องยัดเยียดหนังเรื่องนี้ให้ท่านดูไม่ทางใดก็ทางหนึ่งล่ะครับ

กับเรื่องราวของสมุห์บัญชีหนุ่มนามว่า จีน วัตสัน (Johnny Depp) กับลินน์ (Courtney Chase) ลูกสาวสุดที่รักของเขาได้เดินทางกลับมาบ้านที่ L.A หลังจากไปร่วมงานศพของเมียเก่าที่ต่างเมือง จีนก็คิดว่าจะพาลูกสาวเขากลับบ้านพักผ่อนตามประสาพ่อลูก

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีชายหญิงลึกลับคู่หนึ่ง (Christopher Walken กับ Roma Maffia) ปรากฎตัวขึ้น จับลูกสาวของเขาไว้เป็นตัวประกัน และสั่งให้จีนเดินทางไปลอบสังหารผู้ว่าการรัฐหญิง เอเลนอร์ แกรนต์ (Marsha Mason) ที่กำลังหาเสียงอยู่ที่โรงแรมโบนาเวนเจอร์ พร้อมทั้งยื่นคำขาดว่าหากจีนไม่สามารถฆ่าเธอได้ก่อนเวลา 13.30 น. ลูกสาวของเขาจะต้องตายและเขาก็จะไม่รอดเช่นกัน

เขาเหลือเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก่อนถึงเส้นตาย

แล้วเขาจะรอดไปได้หรือไม่ ลูกสาวเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามต่อได้ใน Nick of Time ครับผม

หนังเรื่องนี้ก็เป็น 10 ปีแล้วน่ะนะครับ แต่ตอนเอามาดูอีกทีก็ไม่รู้สึกว่าเก่าเท่าไหร่ (ก็เหมือนมองตัวเองในกระจกล่ะครับ มองหน้ามองตาก็ไม่ได้รู้สึกว่าแก่ขึ้น แต่พอดูปฏิทินเท่านั้นล่ะต้องคิดปลงสังขารทันที )

และนี่ก็อีกเป็นเรื่องครับ ที่แม้จะเก่าทางกาลเวลา แต่ถ้าให้นับเรื่องความสนุกล่ะผมว่าไม่ใช่น้อยๆ หรอกนะครับ

อย่างที่บอกครับหนังเล่นกับเวลา ประมาณ 24 แต่อาจะกดดันน้อยกว่านะครับ แต่เท่าที่ทำออกมาก็สนุกเอาเรื่อง ช่วงต้นๆ ดูเรื่อยๆ ครับ แนะนำตัวละครไป แต่พอชายลึกลับเริ่มบังคับจีนเท่านั้นแหละ ความน่าติดตามก็ค่อยๆ มากขึ้น แล้วเราก็ต้องมาคอยลุ้นล่ะครับว่าเขาจะหาทางออกยังไง เพราะเขาก็ไม่อยากให้ลูกตาย แต่ขณะเดียวกันหนังก็แนะนำกับคนดูจนเราแน่ในได้เลยว่าจีนไม่มีทางฆ่าคนแน่ๆ เพราะเขาเป็นคนดี คนซื่อคนหนึ่งน่ะนะฮะ

จริงๆ หนังแบบนี้จุดที่สำคัญสุดๆ คือ ทำอย่างไรให้คนดูเอาใจช่วยพระเอก คือต้องสร้างบุคลิกให้ดูเป็นคนดีน่ะครับ น่าเอาใจช่วย น่าสงสารและหมดทางออก เพราะลองว่าคนดูเทใจให้เมื่อไหร่ล่ะหายห่วง ไอ้พวกความผูกพันทั้งหลายนี่แหละที่จะช่วยให้เราๆ ลุ้นกับหนังไปได้อย่างไม่ยากเย็น

ซึ่งจุดนี้แม้บทหนังอาจจะยังไม่ถึงกับเต็มที่นะครับ เพราะผมว่าพี่พระเอกแกยังดูลอยๆ ไปหน่อย แต่โชคดีที่ได้ดารายอดฝีมืออย่าง Depp มาช่วยเพิ่มมิติให้ตัวละคร จีน วัตสัน คนนี้ได้ไม่น้อยล่ะครับ ท่าทางตอนหมดหวังก็น่าเอาใจช่วย หรือจะตอนพลิกเกมกลับไปเอาคืนก็ดูน่าเชื่ออยู่

นี่อาจจะเป็นการแสดงที่จะดูคนปกติที่สุดของ Depp แล้วล่ะครับ เพราะเรื่องอื่นๆ แกจะมาพร้อมลีลาแปลก หรือไม่ก็เมคอัพขำๆ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีล่ะครับ จะว่าไปหนังสนุกได้พอสมควรก็เพราะเขาด้วยน่ะแหละ

ในขณะที่วายร้ายที่ได้ลุง Christopher Walken มาแสดงผมก็แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มากความแล้วล่ะนะครับ คือลุงแกมันโคตรเทพอ้ะ ให้เล่นเป็นอะไรได้หมด ผมเชื่อว่าต่อให้มีคนมอบบทเด็กอายุ 20 ให้แกก็ยังเล่นได้อ้ะครับ จะบทน่ารักอย่างให้ Click หรือ Blast from the Past นี่สบาย ยิ่งบทร้ายนี่ขอให้บอก แกจัดให้ทุกเรื่อง แล้วก็ร้ายแบบทั้งน่ากลัว โรคจิตไม่น่าเข้าใกล้อีกต่างหาก ดังนั้นผมคงไม่ต้องชื่นชมลุงแกไปมากกว่านี้แล้วครับ แค่นี้นักดูหนังก็ไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่ต้องอภิปรายแต่อย่างใดแล้วล่ะ

แล้วยังมีดาราอีกเจ้าที่ต้องมอบคำชมก็คือ Marsha Mason เจ้าของบทผู้ว่าฯ เอเลนอร์ ที่แม้บทจะไม่มากมาย แต่ก็กินขาดกับบททีได้รับครับ เริ่มจากรูปลักษณ์ที่ดูเป็นนักการเมืองใจซื่อมือสะอาด ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยให้หนังน่าติดตามไปอีกขั้น เพราะอย่างที่บอกครับ หนังแบบนี้ต้องทำให้คนดูรู้สึกอยากเอาใจช่วยพระเอก และถ้าจะให้มันดีขึ้นไปอีก ต้องทำให้คนดูรู้สึกไม่อยากให้เป้าหมายการลอบสังหารต้องมาตายด้วย ก็เป็นอันว่าทำได้ครับ Mason แสดงได้ดี แค่ยิ้มก็ดูเป็นคนดีแล้วล่ะครับ

แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าที่ผมชมส่วนมากจะเป็นที่ตัวนักแสดงมากกว่า ก็เพราะเขาทำดีไงครับ ถ้าหนังได้คนไม่เหมาะมาเล่นคงเหลวแน่นอน เพราะจะว่าไปบทหนังก็ไม่ได้แน่นขนาดนั้นนะครับ บทที่ Patrick Sheane Duncan เขียขึ้นนั้นถือว่ามาจากโครงที่น่าสนใจครับ และสถานการณ์ต่างๆ ในหนังก็ออกมาชวนลุ้น มีส่วนให้ตื่นเต้นและน่าติดตาม เพียงแต่จุดที่ถือว่าบางเบามากๆ คือปูมหลังตัวละคร หรือการสร้างคาแร็คเตอร์เฉพาะของแต่ละตัวละคร คือผมว่าบทหนังไม่ค่อยสวยกับส่วนนี้เท่าไหร่ครับ เพราะโดยมากบุคลิกทั้งหลายที่ผมว่าดีน่ะ มาจากเอกลักษณ์เฉพาะตัวและการแสดงอันเหนือชั้นของดารามากกว่า ไม่ได้เกิดจากบทที่สร้างบุคลิกตัวละครซักเท่าไหร่ อย่างภาพลักษณ์ตัวร้ายของ Walken นั่นก็ดูร้ายเพราะลุงเขาเล่นดี และหน้าตาโรคจิตเป็นนิจอยู่แล้ว หรือจะ Mason ในบทเอเลนอร์นั่นก็หน้าตายิ้มพิมพ์ใจอยู่แล้ว ในขณะที่บทก็ไม่ได้เสริมให้เรารู้จักตัวละครนี้มากขึ้นเท่าไหร่

ก็ไม่ถึงกับดาราช่วยชีวิตหนังหรอกนะครับ เพราะจริงๆ บทน่ะดี เรื่องก็ดี แต่บทเกี่ยวกับตัวละครมันอ่อนไปนิด ก็โชคดีที่ดารามาช่วยอุดรูรั่วตรงนี้ได้ แม้จะอุดไม่ได้หมด แต่ก็ช่วยไม่ให้มันแย่ได้ก็แล้วกัน

ส่วนดาราท่านอื่นๆ ก็ดีทั้งนั้น อย่าง Charles S. Dutton กับบทดิวอี้ ชายพิการทหารผ่านศึกที่ทำงานขัดร้องเท้าประจำโรงแรมโบนาเวนเจอร์ที่เป็นคนคอยช่วยจีนในช่วงท้าย พี่ท่านก็แสดงได้ลื่นตามเคยครับ เนียนทั้งเรื่อง แล้วมีสมองอีกต่างหาก ซึ่งก็ไม่ได้ดูเว่อร์ครับ เพราะหนังก็บอกแล้วว่าแกป็นทหารเก่า ดังนั้นหากจะมีความรู้ในเชิงยุทธและการวางแผนบ้างก็พอทำใจเชื่อได้

แล้วก็ยังมี Courtney Chase ดาราเด็กที่มาเป็นลินน์ ลูกของจีน ก็น่ารักดีครับแก้มยุ่ยน่ารักจริงๆ, Roma Maffia ที่มาเป็นคู่หูของเจ้าวายร้ายก็ร้ายดีทีเดียว, Peter Strauss มารับบทเบรนดอน แกรนต์ สามีของเอเลนอร์ และ Gloria Reuben ดาราสาวจากหนังชุด ER ก็มาร่วมแสดงเป็น คริสต้า บรู๊ค เลขาของเอเลนอร์ที่โดนจีนพาเข้ามาพัวพันกับเรื่องโดยไม่ตั้งใจ

นั่นแหละครับ ตัวหนังเองก็จัดว่าสนุกแบบดูได้เรื่อยๆ แม้หนังจะมีการเล่นกับเวลาจริงในเรื่อง แต่ก็ไม่ถึงกับเร่งเร้าอะไรมากครับ ก็เสียดายนิดๆ ที่หนังเหมือนจะจับประเด็นแขงกับเวลามาใช้ แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ได้บีบเพราะเวลาครับ บีบเพราะสถานการณ์มากกว่า

ก็เป็นงานกำกับของ John Badham นี่ก็เป็นผู้กำกับที่ทำหนังมาหลายเรื่องครับ มีหนังดังเยอะ แต่ชื่อแกไม่ดังกับเขาซะที ไม่ว่าจะ Saturday Night Fever หนังเพลงเต้นชื่อดังร้อยล้านที่ช่วยเน้นความดังให้ John Travolta, Dracula ฉบับปี 1979 ที่ Frank Langella มานำแสดง (ล่าสุดเขาเพิ่งมีงานแสดงเป็นเพอร์รี่ ไวท์ หัวหน้างานข่าวของเดลี่ แพลนเน็ตใน Superman Rerurns น่ะครับ) แล้วก็ยังมี WarGames, Short Circuit, Stakeout แล้วก็ Bird on a Wire (Mel Gibson เล่นคู่กับ Goldie Hawn) ส่วนมากหนังพอจะมีชื่อครับ แต่มีคนน้อยเหลือเกินจะรู้จักพี่ Badham แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ผู้กำกับจะมาดังน่ะต้องเจองานที่มีอะไรเด่นพอถึงจะเกิดเต็มๆ แต่งานของพี่ท่านส่วนมากจะโอเคครับ ออกมาดี แต่ไม่ได้เด่นอะไรเท่าไหร่ กับเรื่องนี้ก็ประมาณนั้นครับ ออกมาสนุกดี ตื่นเต้นใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นสุดยอด

แต่ก็ไม่เลวนะครับ อย่างน้อยก็ปเนงานที่สนุกเหมาะมากเลยครับคนที่ชอบหนังแอ๊คชั่น ทริลเลอร์ทำนองนี้น่ะนะครับ เอาแค่ดูพวกดาราก็คุ้มแล้วล่ะ