ค้นหาหนัง

Mission: Impossible III ผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาค3

Mission: Impossible III ผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาค3
เรื่องย่อ : Mission: Impossible III ผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาค3

อีธาน ฮันท์ สายลับมือฉมังที่ลาวงการมาเป็นครูฝึกภาคสนาม เพราะพบรักกับ จูเลีย พยาบาลสาว จนถึงขั้นที่จะแต่งงานกัน โดยที่จูเลียก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงงานเบื้องหลังของอีธานเลย จนกระทั่งอีธานก็ได้รับภารกิจใหม่อีกครั้งจากหน่วยงาน IMF (Impossible Mission Force) เมื่อลูกศิษย์ของเขานั้นหายไปจากการปฏิบัติการ เขาจึงต้องออกตามล่าวายร้ายอย่าง โอเว่น ดาเวียน วายร้ายตัวฉกาจที่ค้าอาวุธและข้อมูลข้ามชาติ แถมยังมีความฉลาดเป็นกรดไม่ต่างอะไรจากสายลับเลย จนเมื่ออีธาน ต้องกลับมารับภารกิจอีกครั้ง ก็ต้องพบว่า โอเว่นนั้นดันเอาคนใกล้ตัวของเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย

IMDB : tt0317919

คะแนน : 8



สำหรับผมนี่การเขียนถึงหนังนี่เป็นความสุขชนิดหนึ่งเลยครับ แม้หลังๆ มานี่ผมจะบ่นมากหน่อยจนเหมือนคนแก่ก็เถอะ แต่มันก็ยังสุขใจครับ เหมือนกับแม้ว่าตอนดูมันจะอดหยิบโน่นหยิบนี่มาคิดไม่ได้ จนเหมือนเป็นคนคิดมาก ไม่ผ่อนคลายไปกับหนัง แต่เอาเข้าจริงๆ การดูหนังซักเรื่องจบผมจะมีอารมณ์ดีในทันที ยิ้มได้ครับ

ส่วนเรื่องนี้ก็ออกโรงจนใกล้จะออกแผ่นแล้วนะครับ จริงๆ ผมก็ดูตั้งแต่ตอนอยู่ในโรงน่ะแหละ แต่เผอิญดูตอนใกล้จะลาโรงแล้ว (ดูพร้อมๆ กับ The Omen น่ะครับ) เลยไม่ได้เอามาเขียน แต่ตอนนี้ก็เอาล่ะครับ ขอร่ายหน่อยนะ เพื่อความผ่อนคลาย หุๆๆๆ

นี่ก็ปาเข้าไปภาคสามแล้วนะครับ กับเรื่องราวการปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้ของอีธาน ฮันต์ (Tom Cruise) สายลับ IMF ที่ต้องมาต่อกรกับโอเวน เดเวียน (Philip Seymour Hoffman) วายร้ายพ่อค้าอาวุธร้ายใหญ่ของโลก ซึ่งก็ตามแบบฉบับครับ มีตีกัน มีการสวมหน้ากากเข้าหากัน (ปลอมตัวไงครับ) แล้วก็แอ๊คชั่นอีกเพียบ

ตัวหนังนั้นจัดว่าดูเอาเพลินๆ ได้ครับ เอามันส์แบบเรื่อยๆ แต่จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมาย นี่ว่ากันตามที่ผมคิดล้วนๆ เลยนะครับ ผมก็เฉยๆ อยู่พอควร ไปๆ มาๆ ภาคที่ชอบที่สุดก็ยังเป็นภาคแรกอยู่ดีน่ะฮะ เพราะมันครบบรรยากาศหนังจารกรรม มีลุ้นมีกดดัน แต่พอมาสองภาคหลังนี่จะควักปืนยิงเป็นหลักซะแล้ว

แต่ภาคนี้ก็นับว่าดีกว่าภาคสองหน่อยที่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังจารกรรมสายลับผสมปนลงมาบ้าง แต่ถึงกระนั้นตัวหนังเองก็พร่องไปในหลายๆ ส่วน

จุดที่ถือว่าเป็นข้อเสียใหญ่เลยของหนังก็คือ การที่ตัวร้ายอย่างโอเวน เดเวียนมีบทน้อยจนเกินไป แหม ก็เล่นเอาดาราออสการ์อย่างพี่ Seymour Hoffman มาเดินผ่านหน้ากล้องแค่ไม่กี่ฉากมันก็ไม่คุ้มล่ะครับ อีกอย่าง หนังแนวนี้เนี่ย ว่ากันตามจริงเลย วายร้ายสำคัญนะ ยิ่งวายร้ายเด่น เก่ง และฉลาดแค่ไหน พระเอกยิ่งโดนกดดันแค่ไหน ความสนุกความลุ้นและสะใจก็จะเพิ่มขึ้นหลายขั้นทวีคูณ

ซึ่งถ้าพูดถึงนักแสดง Seymour Hoffman แสดงได้ดีครับ เหี้ยมมาก ออกมาทีไรได้ใจทุกรอบ แต่ปัญหาคือเขาโผล่มาน้อย และบทไม่ส่งพอครับ ก็เลยอดเสียดายไม่ได้ เพราะถ้าทำดีๆ ล่ะก็นี่จะเป็นวายร้ายที่น่าจดจำที่สุดคนหนึ่งของโลกภาพยนตร์เลยล่ะครับ

ในขณะที่ Cruise ก็ยังเป็น Cruise… ไม่รู้นะ ผมดู M:I มาสามภาค รู้สึกว่าพี่แกเป็น Cruise มากกว่าอีธาน ฮันต์ เพราะแต่ละภาคบุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภาคแรกนี่โทรมกดดันมากเลยครับ มาภาคสองผมยาวสลวยไล่จระเข้ฟาดหางชาวบ้านไปทั่ว พอมาภาคนี้ก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ นั่นคือส่วนผสมของสองภาคแรกนั่นเอง

แต่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะครับ เพราะจะว่าไปเนี่ย ผมว่าบทของฮันต์ดูลงตัวแบบที่ควรจะเป็นจริงๆ ก็ภาคนี้นี่เอง นั่นคือ มีทั้งความแมน และร้ายสไตล์สายลับ ไม่ต้องมากดดันอย่างเดียว และไม่ต้องมาเป็นพระเอกหนัง John Woo อย่างเดียว มันต้องเอาสองคนนี้มาบวกกันแล้วหารสอง และภาคสามนี่แหละครับ ที่บทของฮันต์ผสมกันลงตัว เป็นทั้งสายลับ IMF ที่ถนัดงานจารกรรม แต่ไม่กดดันเกินไป และเป็นทั้งสายลับที่พร้อมจะบู๊ได้ แบบพอดีๆ ไม่ได้ยิ้มแย้มแจ่มใสเกินเหตุแบบภาคสอง

ส่วนดาราสมทบเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะ Ving Rhames ในบทลูเธอร์ จอมยุทธแฮ็คเกอร์มือเซียนที่ช่วยฮันต์มาดั้งแต่ภาคแรกก็ยังเหมือนเดิมครับ ภาคนี้แกจะดูน่ารักขึ้นด้วย มีการมาแซวๆ ชีวิตคู่ของฮันต์ ก็ไม่เลวครับ, Billy Crudup มาในบทมัสเกรฟ หัวหน้าของฮันต์ที่คอยช่วยฮันต์อย่างลับๆ พี่แกเล่นดีอีกเช่นกัน และโผล่มาแบบพอดีๆ เว้นแต่ช่วงท้ายที่น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้หน่อย เพราะจะทำให้หนังเข้มข้นมากขึ้นอีกเยอะ และ Laurence Fishburne ในบทธีโอดอร์ บรัสเซลล์ หัวหน้าใหญ่ของ IMF ก็มาพร้อมสีหน้าดุดันเหี้ยมเกรียมอันเป็นเอกลักษณ์ (ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าครับ แต่เค้าหน้าพี่แกนี่ขบกรามทั้งเรื่องเลย จนผมกลัวเลือดแกจะซึมออกจากปากจาง ) ก็บอกได้ว่าสองรายหลังนี่มาช่วยทำให้หนังน่าติดตามเพิ่มขึ้นทีเดียวล่ะฮะ

แต่จุดที่เด่นไม่น้อยคือดาราสาวๆ ในภาคนี้ เริ่มจาก Maggie Q สาวสวยในภาพนั่น โคตรสวยคมอ้ะครับ ผมล่ะปลื้มมาตั้งแต่ Gen-Y Cops แล้วก็ Naked Weapon แล้ว มาเรื่องนี้ก็สวย น่ารัก และแกร่งดีจริงๆ ครับ เร้าใจมาก, Michelle Monaghan ก็มาเป็นจูลี่ สาวคนรักของฮันต์ที่เธอก็ดูน่ารักแบบหวานๆ ครับ สองสาวนี่ก็ทำให้หนังกระชุ่มกระชวยขึ้นไม่ใช่น้อย และยังมี Keri Russell ในบท ลินด์เซย์ เฟอร์ริส ที่แม้จะโผล่แค่ต้นเรื่อง แต่ก็แสดงได้ดีครับ ลุ้นเยอะเลยล่ะ ดังนั้นด้านนักแสดงนี่ผมเห็นทีจะต้องบอกว่าแข็งครับ แข็งแรงมากทีเดียว

แต่แม้ดาราจะดีนะครับ แต่ผมว่าบทมันยังไม่หนักพอ เรื่องหนักแน่นน่ะโอเคครับ แต่ความมันส์ยังพร่องอยู่ ไม่ว่าจะวายร้ายที่น่าจะทำอะไรมากกว่านี้หน่อย หรืออุปสรรคของพวกพระเอกก็น้อยฮะ ไม่เหมือนภาคแรก เอาแค่ห้องที่แลงลี่ย์นั่นผมก็ปวดหัวแล้วล่ะ มันจะจารกรรมไหวได้ไง เนี่ยครับ มันต้องอุปสรรคเยอะถึงจะลุ้นน่ะ

แต่หนังก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ นะครับ โอเค เอาสนุกได้ แต่น่าจะดีกว่านี้ เหมือนกับมันส์แต่ไม่เต็มที่ อย่างตอนท้ายนี่บทสรุปลงเอยอย่างง่ายดายเกินไป ซึ่งผมก็ไม่โทษ J.J. Abrams ผู้กำกับหรอกครับ เพราะพี่แกเป็นคนทำ Alias และหนังชุดนั้นมันก็เป็นแนวสายลับ และมันก็สนุกประมาณนี้น่ะแหละ คือดูได้ แต่ไม่ได้มันส์มากมาย ดังนั้นถ้าจะบอกว่าฝีมือแกสาละวันเตี้ยลงมันก็ไม่ใช่ แค่แกทำได้ตามมาตรฐานเดิมเท่านั้น ซึ่งผมว่าถ้าเป็นหนังทีวีมันก็พอได้ครับ แต่ถ้าเป็นหนังโรงแบบนี้มันน่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้และมีความซับซ้อนมากกว่านี้เยอะๆ หน่อย

ฉากบู๊แอ๊คชั่นก็ดูได้แต่ไม่ใหม่ครับ จริงๆ ผมว่าหนัง M:I นี่จุดที่ควรเน้นคือเนื้อเรื่องนะ การจารกรรม การแก้เกมและแก้ปม ซึ่งภาคนี้ทำได้ในระดับหนนึ่งเท่านั้นเองครับ และที่ผมไม่เข้าใจคือฉากจารกรรมที่พึงมีดันไม่มี อย่างไอ้ตอนที่ฮันต์อุตส่าห์ปีนตึกไปขโมยนั่น จู่ๆ พอแตะยอดตึกได้ ก็ตัดมาเป็นว่าฮันต์ขโมยเสร็จแล้ว แค่นั้นเลย

เอ้า ผมก็นึกว่ามันจะมีฉากจารกรรมเด็ดๆ ซักอัน แต่นี่ดันไม่มีซะงั้นน่ะ

โอเค ถ้าคิดอีกแง่ว่าทีมงานเขาอยากฉัก ไม่อยากซ้ำก็พอไหวครับ เลยตัดเอาฉากจารกรรมมุขเดิมๆ ไป แล้วใส่อย่างอื่นมาแทน แต่ไอ้อย่างอื่นที่ใส่ลงมานี่มันยังไม่เพียงพอน่ะสิครับ โดยเฉพาะตอนท้ายที่เข้าข่ายผิดหวังเลยล่ะ ดันสรุปเรื่องอย่างง่ายๆ

และที่หนักหนาอีกก็คือวายร้ายแต่ละรายพบจุดจบที่ไม่สาสมกับความเลวเอาซะเลย ตายง่ายน่ะครับ ง่ายเกินไปจนผมยังอดเซ็งไม่ได้เลยนะ จริงๆ หนังมันพอไหวมาตลอดครับ ยิ่งจุดหักเหตอนก่อนจบนี่ทำได้ดีเลยครับ เล่นเอาผมตาสว่างขึ้นมาเลย แต่พอถึงตอนท้ายจริงๆ ชั้นเชิงดันไม่เหลือ และจบลงอย่างง่ายดาย จริงๆ ถ้ามันจะเนรมิตฉากตีกันในตอนท้ายให้มันยิ่งใหญ่ซะหน่อยก็คงดีอ้ะครับ แต่นี่เล่นไปตีกันในบ้านเก่าๆ ในจีน

ธ่อ นี่ถ้าพี่ทำหนังเรื่อง The Joy Luck Club ล่ะก็ ผมยังพอทำใจที่ไคลแม็กซ์จะไปจบที่โลเกชั่นนี้ แต่นี่หนัง M:I นะพี่

เฮ่อ ดูเยอะก็บ่นเยอะครับ แนะนำว่าท่านๆ ไม่ควรเอาผมเป็นเยี่ยงอย่างครับ ดูหนังแล้วคิดมากประจำ (แต่ผมไม่เคยเครียดเลยนะ คิดแล้วมันสนุกอ้ะ)

สรุปได้ว่าหนังไม่เลวครับ แต่น่าจะดีกว่านี้ และตอนท้ายน่าจะทำให้มันส์กว่านี้ (ไม่รู้สิ ผมว่าฉากบู๊ตอนกลางเรื่องช่วงถล่มสะพานยังออกมาเข้าท่าเข้าทางกว่าเลยอ้ะ) แต่ก็อย่างที่บอกครับ ดูได้เพลินๆ ผมอาจจะผิดหวังบ้างนะ เพราะคิดว่ามันน่าจะมันส์กว่านี้ แต่เท่าที่เป็นก็ถือว่าไม่ถึงกับเสียดายตังค์ล่ะครับ เพียงแต่ไม่ถึงกับคุ้มด้วยเท่านั้นเอง