Metrosexual | แก๊งชะนี กับอีแอบ
เรื่องย่อ : Metrosexual | แก๊งชะนี กับอีแอบ
เมื่อเพื่อนสาวในแก๊งประกาศว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่ดูสำอางและแต่งตัวจัดเกินไป สาวๆ อีก4 คนชาวแก๊งก็สงสัยว่าว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อนคนนี้จะเป็นเกย์ เลยต้องสืบให้รู้กัน
IMDB : tt0817907
คะแนน : 8
“คนสมัยนี้ทำไมดูยากจัง” นิ่ม (อรปรียา หุ่นศาสตร์) ถึงกับสบถออกมาอย่างหงุดหงิดในฉากหนึ่งของหนังเรื่อง แก๊งชะนีกับอีแอบ หลังจากเธอและพรรคพวกไม่สามารถหาหลักฐานชัดๆ มาพิสูจน์ได้ว่า ก้อง (เธียนชัย ชัยสวัสดิ์) เป็นอีแอบและไม่ควรจะแต่งงานกับ แป้ง (มีสุข แจ้งมีสุข) เพื่อนรักของพวกเธอ คาดว่าคำพูดข้างต้นของนิ่มไม่เพียงจะโดนใจบรรดาหญิงสาววิตกจริตทั้งหลาย ที่กำลังนึกสงสัยในตัวแฟนหนุ่ม คนรัก ว่าที่เจ้าบ่าว หรือ “เพื่อนสนิท” ของตนเท่านั้น แต่มันยังน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากเหล่าชาวเกย์อีกด้วย
เรื่องตลกอยู่ตรงที่ คำว่า “ดูยาก” นั้นไม่ได้หมายถึงเกย์สมัยนี้ “แอ๊บแมน” เก่งขึ้น แต่เป็นเพราะผู้ชายยุคนี้ “แต๋วแตก” มากขึ้นต่างหาก
ปรากฏการณ์ “เมโทรเซ็กช่วล” ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของหนังเรื่องนี้ เริ่มทำให้ “เกย์ดาร์” ของเหล่ารักร่วมเพศเกิดอาการแปรปรวนและทำงานไม่แม่นยำเช่นเคย ทุกวันนี้ ผู้ชายที่แต่งตัวเนี้ยบ ทำผมหวือหวา ออกกำลังกายในฟิตเนส และดูแลสภาพผิวของตนอย่างทะนุถนอม หาใช่เกย์เสมอไป ยิ่งไปกว่านั้น ความคลุมเครือดังกล่าวยังเริ่มกินความครอบคลุมไปถึงรสนิยม บุคลิก น้ำเสียง และภาษาท่าทางอีกด้วย
เพราะเหตุนี้เอง แบบทดสอบต่างๆ นาๆ ซึ่งพี่บี๋ (ไมเคิล เชาวนาศัย) แนะนำกับกลุ่มแก๊งชะนี จึงไม่อาจยืนยันอะไรให้แน่ชัดลงไปได้ ความจริง มันออกจะเชยหรือตกรุ่นไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับแนวคิด “เกย์สวมตุ้มหู” กับ “เกย์นิ้วก้อยกระดก” ของพวกสาวๆ นั่นแหละ หนังสามารถเฉลยให้ก้องเป็นหรือไม่เป็นอีแอบได้มากพอๆ กัน โดยคนดูจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้เพียงนิด เนื่องจากมาตรฐานความเป็นชายได้เปลี่ยนแปลงไปมากและจะเปลี่ยนแปลงต่อไปอีกไม่รู้จบ ด้วยเหตุนี้ บทสรุปของหนังจึงหาใช่บทพิสูจน์ว่าแบบทดสอบของพี่บี๋เชื่อถือได้ ตรงกันข้าม มันเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าพวกแก๊งชะนี “โชคดี” เท่านั้น
แน่นอน แบบทดสอบดังกล่าวจะเชื่อถือได้อย่างไรในเมื่อมันกำลังสับสนบทบาททางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องภายนอก กับรสนิยมทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องภายใน
ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ความเป็นชาย หรือพฤติกรรมที่สังคมยอมรับว่ามีความเป็นชายมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สไตล์บางอย่างที่ถูกมองว่ามีความเป็นหญิงในปัจจุบันอาจเคยเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ชายยุคโบราณ เช่น การแต่งหน้า การสวมเครื่องประดับ หรือการเข้าถึงดนตรีและศิลปะ แต่เมื่อแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นหญิงเริ่มกินพื้นที่ครอบคลุมพฤติกรรมต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่ได้รับการยอมรับว่า “แมน” ก็เริ่มถูกจำกัดมากขึ้นด้วย ผู้ชายคนใดร้องว้าย หรือกันคิ้ว หรือนิ้วก้อยกระดกเวลายกแก้วน้ำขึ้นดื่มจะถูกมองอย่างสงสัยว่าเป็นเกย์ ซึ่งผูกพันกับความเป็นหญิงอย่างแน่นแฟ้นในทันที รวมไปถึงการทาครีมบำรุงผิว สวมเสื้อผ้าพอดีตัว หรือการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเปิดเผย
เมโทรเซ็กช่วลเปรียบเสมือนปฏิกิริยาตอบโต้ปรากฏการ์ดังกล่าว ผู้ชายบางคนอาจรู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ในขอบเขตอันคับแคบแห่งบทบาททางเพศ จึงพยายามเดินไต่ไปบนเส้นแบ่งที่เลือนลางลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันผู้หญิงเองก็เริ่มรุกคืบเข้ามาในขอบเขตของเพศชายมากขึ้น เมื่อพวกเธอทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้และมีทัศนคติแข็งกร้าวในเรื่องเพศ
จะว่าไปแล้ว กลุ่มแก๊งชะนีในหนังก็ดูไม่ต่างจากกลุ่มสี่สาวใน Sex and the City เท่าไหร่ พวกเธออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มีอาชีพการงานมั่นคง มีเงินจับจ่ายใช้สอยโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย และกล้าจะเป็นฝ่ายรุกในเกมแห่งเพศ ดังเช่นกรณีของนิ่มและ เจ๊ฝ้าย (พิมลวรรณ ศุภยางค์) ในคืนวันลอยกระทง โดยสำหรับรายแรก บทสรุปดังกล่าวถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เมื่อพิจารณาจากลักษณะงานของเธอ (ช่วงต้นเรื่อง คนดูจะเห็นเธอถ่ายเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ช่วยตัวเองของผู้หญิงไปให้เพื่อนสาว ส่วนในช่วงกลางเรื่อง คนดูก็จะเห็นโต๊ะทำงานของเธอซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยตัวเองและตำราท่าร่วมเพศ)
วิบากกรรมของพวกแก๊งชะนี (ความยากลำบากในการแยกแยะว่าผู้ชายคนไหนเป็นเกย์ หรือไม่ได้เป็นเกย์) เปรียบเสมือนการเล่นตลกของชะตากรรม กล่าวคือ การรุกคืบของผู้หญิงยุคใหม่ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุแห่งปรากฏการณ์เมโทรเซ็กช่วล (นอกเหนือจากวัฒนธรรมบริโภคนิยม) ซึ่งต่อมาได้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ชายกับเกย์ ที่เป็นเหมือนต้นแบบของเมโทรเซ็กช่วลอีกที ค่อยๆ เลือนลางลงอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อต้องเลือกระหว่าง เรโทรเซ็กช่วล (retrosexual) หรือผู้ชายยุคเก่า (คุณสมบัติสำคัญได้แก่ หลีกเลี่ยงความเป็นหญิงทุกรูปแบบ แสดงออกทางอารมณ์อย่างจำกัด ไขว่คว้าความสำเร็จและสถานะ พึ่งพิงตนเอง เข้มแข็ง ก้าวร้าว และเกลียดกลัวรักร่วมเพศ) กับเมโทรเซ็กช่วล ดูเหมือนบรรดาผู้หญิงยุคใหม่จะยังพิสมัยฝ่ายแรกมากกว่า เห็นได้จากทัศนคติของ ป๋อม (พัชรศรี เบญจมาศ) ตอนเห็น ออฟ (ดาวิเด โดริโก้) แต่งตัวเต็มยศเพื่อหวังจะเอาชนะใจเธอ หรือบุคลิกของบรรดาตัวละครผู้ชายคนอื่นๆ ที่พวกแก๊งชะนีหลงรักอย่าง เคนจัง (ยาโน คาซูกิ) พี่โจ้ (กนิษฐ์ สารสิน) และ เฮียเพ้ง (มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร) ซึ่งล้วนแตกต่างจากก้องเหมือนมาจากดาวคนละดวง โดยในกรณีของพี่โจ้ เราจะเห็นความแตกต่างดังกล่าวอย่างชัดเจนในฉากที่เขาและก้องไปเดินช็อปปิ้งยกทรงเป็นเพื่อนผู้หญิง โดยคนหนึ่งจะแสดงความเห็นและอารมณ์เพียงน้อยนิด ด้วยใบหน้าเบื่อๆ เซ็งๆ เล็กน้อย ขณะที่อีกคนกลับหยอกล้อและสะดวกใจในการหยิบจับโน่นนี่โดยไม่เขินอาย
มาร์ค ซิมป์สัน นักข่าวชาวอังกฤษผู้คิดค้นคำว่าเมโทรเซ็กช่วลขึ้นเคยเขียนว่าวิธีจับแอบเมโทรเซ็กช่วลนั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือ เพียงแค่ “มองดู” พวกเขา เพราะความเป็นเมโทรเซ็กช่วลนั้นสามารถวัดกันได้ง่ายๆ โดยภาพลักษณ์ภายนอกและพฤติกรรมบางอย่าง มันเป็นเรื่องของการท้าทายบทบาททางเพศดั้งเดิม (ผู้ชายต้องเล่นหุ่นยนต์ ผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตา ผู้ชายต้องเข้มแข็ง ผู้หญิงต้องอ่อนไหว ฯลฯ) มันเป็นเรื่องของการหลงตัวเอง มันเป็นเรื่องของไลฟ์ สไตล์ ซึ่งไม่ซับซ้อนและยากต่อการจัดแบ่งประเภทมากเท่ารสนิยมหรือตัวตนทางเพศ
พวกแก๊งชะนีเองก็ดูเหมือนจะตระหนักดีในระดับหนึ่งว่า หลักฐานทุกอย่างที่พวกเธอได้มานั้นเพียงแค่พิสูจน์ให้เห็นว่าก้องเป็นเมโทรเซ็กช่วล หาใช่โฮโมเซ็กช่วล ดังนั้น พวกเธอจึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกแป้งตรงๆ ถ้าคุณลักษณะภายนอกสามารถบ่งชี้ตัวตนภายในได้แล้วละก็ เดวิด เบคแฮม คงใกล้เคียงกับรักร่วมเพศมากกว่าสองตัวเอกใน Brokeback Mountain อยู่หลายช่วงตัว
แล้วข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ “รักร้อน” ในห้องล็อกเกอร์สมัยที่ก้องยังเป็นเด็กอยู่ล่ะ พอจะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของรักร่วมเพศได้ไหม
อาจจะได้ แต่ก็เบาหวิวเหลือทน
เซ็กซ์ระหว่างเด็กชายวัยรุ่นถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในโรงเรียนชายล้วน แบบสำรวจพฤติกรรมทางเพศของต่างประเทศก็เคยระบุว่าผู้ชายแท้ๆ หรือ heterosexual เกินครึ่งล้วนเคยมีประสบการณ์รักร่วมเพศมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ข้อเท็จจริงหนึ่งที่เราต้องยอมรับ ก็คือ ในปัจจุบันตัวตนทางเพศดูเหมือนจะเริ่มแบ่งแยกให้ชัดเจนได้ยากขึ้นทุกที
จากงานเขียนของ ไมเคิล บาร์ทอส ในหนังสือ Meaning of Sex Between Men ผู้ชายหลายคน ขณะถูกสัมภาษณ์สำหรับงานวิจัยเรื่องเอดส์ ไม่เรียกตัวเองว่ารักร่วมเพศ ถึงแม้เขาจะเคยแอบหลบเมียและลูกๆ ออกไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเป็นครั้งคราว โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่ผมจะมีเซ็กซ์กับผู้ชายเป็นครั้งคราว สิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือ ผมแต่งงานแล้วและมีความสุขกับชีวิต... กิจกรรมยามบ่ายในบางวันของผมไม่ใช่ธุระกงการของใคร” อีกคนปฏิเสธการถูกตีตราว่าเป็นรักร่วมเพศอย่างชัดเจนกว่า “ผมไม่ใช่เกย์ เพศสัมพันธ์กับผู้ชายเป็นสิ่งที่ผมทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ มันกินเวลาในชีวิตของผมเพียงน้อยนิด ส่วนเวลาที่เหลือผมเป็นผู้ชายรักต่างเพศธรรมดาที่แต่งงานแล้วและมีครอบครัว”
พวกเขาเป็นอีแอบที่ไม่ยอมรับความจริงใช่ไหม แล้วคนที่ตีตราตัวเองว่าเป็นไบเซ็กช่วลล่ะ พวกเขากำลังหลอกตัวเองด้วยหรือเปล่า ถ้าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายทำให้คุณเป็นรักร่วมเพศ งั้นบรรดาผู้ชายขายตัวในบาร์เกย์ก็ย่อมต้องเป็นรักร่วมเพศทั้งหมดน่ะสิ
ต่อประเด็น “ตัวตนแห่งรักร่วมเพศ” หนังเรื่อง แก๊งชะนีกับอีแอบ ดูเหมือนจะตั้งตนอยู่กึ่งกลางระหว่างสองแนวคิดหลัก คือ essentialist (เชื่อว่าตัวตนทางเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ มีมาแต่กำเนิด เป็นอิสระจากวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม) กับ constructionist (เชื่อว่าตัวตนทางเพศนั้นยืดหยุ่นได้ โดยมีผลมาจากสภาพสังคม อิทธิพลภายนอกและวัฒนธรรม) กล่าวคือ มันให้ความสำคัญต่อการสืบเชื้อสายทางกรรมพันธุ์ (มีคุณน้าเป็นเกย์สาวที่ชอบจัดดอกไม้) มากพอๆ กับประสบการณ์ฝังใจ (รักร้อนในห้องล็อกเกอร์) และเมื่อก้องมาขอความช่วยเหลือจากพี่บี๋และป๋อมเพราะเขารู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็น “อะไร” กันแน่ คำตอบที่เขาได้รับก็มีทั้ง “ต้องลองดู” (แล้วเธอจะบอกได้เองจากประสบการณ์) และ “เธอรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร เพียงแต่เธอจะยอมรับมันหรือเปล่าเท่านั้น” (มันอยู่ข้างในตัวเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว)
จนถึงจุดนี้ หนังยังคงไม่ปล่อยให้คนดูปักใจเชื่อฟากใดฟากหนึ่งอย่างจริงจัง ก้องสามารถจะเป็นเกย์ หรือไม่เป็นเกย์ได้มากพอๆ กัน แต่การที่หนังเลือกจะจบแบบที่คนดูได้เห็นดูเหมือนจะช่วยลดแรงกระแทกต่อพฤติกรรมยุ่งเรื่องชาวบ้านของแก๊งชะนีได้ไม่น้อย
การผสมผสานสองแนวคิดหลักเข้าด้วยกันของ แก๊งชะนีกับอีแอบ ทำให้หนังเรื่องนี้ค่อนข้างร่วมสมัยและหัวก้าวหน้ากว่าหนังไทยเกี่ยวกับรักร่วมเพศส่วนใหญ่ ซึ่งมักโน้มเอียงเข้าหาหลักการของ essentialist แบบสุดโต่ง ตั้งแต่ พรางชมพู จนถึงล่าสุด คือ เพลงสุดท้าย (“ถ้าเลือกเกิดได้ หนูคงไม่เลือกเกิดมาเป็นอีกะเทยแบบนี้”) เพราะบางครั้งประเด็นเกี่ยวกับตัวตนทางเพศนั้นก็ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเกินกว่าจะระบุบ่งบอกให้ชัดเจน เฉกเช่นบทเปรียบเทียบของแม่แป้งว่า “เกลือ” กับ “น้ำตาล” ไม่สามารถจะทดแทนกันได้
ปัญหาในปัจจุบันหาใช่ว่าเราแทบจะดูไม่ออกว่าเกลือกับน้ำตาลแตกต่างกันอย่างไรเท่านั้น แต่บางครั้งกระทั่งได้ลองชิมไปแล้วก็ยังไม่เห็นความแตกต่างอีกด้วย