ค้นหาหนัง

Lifeforce | ดูดเปลี่ยนชีพ

Lifeforce | ดูดเปลี่ยนชีพ
เรื่องย่อ : Lifeforce | ดูดเปลี่ยนชีพ

ปี 1985 อังกฤษและอเมริกาได้ทำภารกิจกู้โลกร่วมกัน พวกเขาได้ส่งยานอวกาศออกไปสำรวจดาวหางฮัลเล่ย์ นักบินอวกาศพบว่ามียานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวซ่อนอยู่ในดาวหางฮัลเล่ย์ เมื่อเข้าไปในยานอวกาศนั้นก็พบสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ นอนนิ่งอยู่ในนั้นเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน พวกเขาจึงจับพวกมันทั้งสามคนขึ้นยานเพื่อตรวจสอบ เมื่อพวกมันฟื้นขึ้นมาก็พากันไล่ฆ่าคน จนเหลือ ทอม คาลเซน (Steve Railsback) รอดชีวิตเพียงคนเดียว เมื่อทอมได้กลับมายังโลกมนุษย์ มันก็ได้ตามเขามาด้วยและเริ่มกระบวนการไล่ดูดชีวิตคนทั้งโลก เพราะพวกมันคือแวมไพร์อวกาศ

IMDB : tt0089489

คะแนน : 6



ย้อนอดีตหนังแนวไซไฟสยองอีกเรื่องครับ จะว่าไปคนทำหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่กระจอกหรอกนะครับ เขาคือ Tobe Hooper เจ้าตำรับคนทำ The Texas Chinsaw Massacre ที่ตอนนั้นชื่อเสียงกำลังแรง เพราะ หลังจากแจ้งเกิดด้วยหนังสิงหาสับแล้วก็สร้างชื่อต่อด้วย Eaten Alive, Salem’s Lot

และงานชิ้นสำคัญคือ Poltergeist หนังบ้านผีสิงที่เขาได้ร่วมงานกับ Steven Spielberg เท่านั้นล่ะครับชื่อพี่แกดังไปหลายวาจนมีหลายค่ายหนังพากันมาตอดให้ไปทำหนังให้หน่อย และค่ายที่จีบ Hooper สำเร็จก็คือ Cannon Film ซึ่งพี่แกก็เซ็นสัญญาทำหนังสามเรื่องรวด นี่คือเรื่องแรกในสัญญานั้นครับ

สร้างจากนิยายแนวไซไฟของ Colin Wilson เนื้อเรื่องว่าด้วยอนาคตที่มนุษย์ส่งยานอวกาศออกไปสำรวจดาวหางฮัลเล่ย์ และปรากฏว่าภายในดาวหาง พวกลูกทีมสำรวจต้องเจอกับความสยอง เมื่อมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ นอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น เป็นชายสอง หญิงหนึ่ง (Mathilda May) ซึ่งหญิงหนึ่งนี่แหละทำท่าจะเป็นหัวหน้า

พวกเขาจับพวกนี้ขึ้นยานเพื่อตรวจสอบ แล้วเป็นไงล่ะครับ พวกมันก็ไล่ฆ่าคน จนเหลือคนรอดเพียงหนึ่ง ซึ่งก็คือ ทอม คาลเซน (Steve Railsback) เขาได้กลับมาเล่าเรื่องสยองให้เจ้าหน้าทีทางการบนโลกฟัง แต่เรื่องร้ายยังไม่จบ เพราะมันได้ตามเขามายังโลก และเริ่มกระบวนการไล่ดูดชีพมนุษย์ งานนี้โลกได้ไร้สิ่งมีชีวิตแน่นอน เพราะพวกมันคือแวมไพร์สายพันธุ์อวกาศที่มาเพื่อดูดชีพคนทั้งโลก!

โดยพล็อตผมว่าเรียกความสนใจได้ดีนะครับ เป็นแวมไพร์อวกาศ เทคนิคพิเศษนี่ผมว่าคนทำออกแบบได้ไม่เลว พวกภายในดาวหางอะไรเนี่ยออกแบบมาไม่เลวครับ ดูสวยแบบน่ากลัวดี การเดินเรื่องผมว่าก็พอได้น่ะ เรื่อยๆ ไม่ได้เร้าใจตลอด แต่ก็สนุกแบบหนังไซไฟแบบเอเลี่ยนบุกโลกแบบนี้

แต่หนังมีจุดขายสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ครับ เป็นสิ่งที่ผู้ชายคงต้องรีบหาเช่ามาดูทันทีที่ผมเอ่ยปากบรรยายไปแล้ว

คุณจำหนังอย่าง Species ได้ไหมครับ อ้า รู้ใช่ไหมครับว่าจุดขายแท้ๆ น่ะคืออะไร อ้า ใช่ครับ จุดขายอยู่ที่การออกแบบตัวเอเลี่ยน ฮ่าๆๆๆ ใช่ที่ไหนล่ะนั่น จุดขายมันอยู่ที่ตัวนางเอกต่างหาก เล่นแสดงแบบไม่เปลืองเสื้อผ้าใดๆ อะไรจะเปิดเผยขนาดนั้นน้อ 

ครับ และจุดขายสำคัญของหนังเรื่องนี้ ก็คืออันนั้นแหละ แต่ออกจะขายมากกว่า Species หน่อย เพราะเรื่องนั้นเล่นแบบไม่เปลือง แต่เรื่องนี้เล่นแบบไม่ใส่ไปเลย!  โอ้ว แม่เจ้า

อย่าหาว่าผมหื่นเลยนะครับ นี่คือข้อเท็จจริง จุดขายที่ผมว่าคือแวมไพร์สาวตัวที่เป็นหัวหน้าไงครับ ซึ่งถ้าถามว่าเลอะเทอะหรือไม่ก็บอกได้เลยว่าไม่ เพราะตามบทเธอเป็นสิ่งมีชีวิตอวกาศที่ไม่สนใจเรื่องเสื้อผ้าแพรพรรณใดๆ เธอมาเพื่อดูดชีพครับ ต่างจากแวมไพร์บนโลกแค่ว่า พวกนี้จะดูพลังชีวิตจากปากไปเลย ไม่ดูดแค่เลือด ทำให้คนโดนดูดจะค่อยๆ ซีดกลายเป็นซากศพแบบซอมบี้ แต่ยังทะลึ่งเดินได้ด้วยนะครับ มันจะเดินไปดูดชีพคนต่อไป ตรงนี้แหละที่เหมือนกับแวมไพร์ คิดดูสิครับ ในเรื่องมันมีตัวพวกนี้เพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย โอย ตอนท้ายนี่ตัวบ้าเต็มเมืองไปหมดเลยครับ

หนังเรื่องนี้ออกแผ่นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้มั้ง ผมดูปุ๊บแนะนำให้เพื่อนดูต่อทันที ก็ไม่มมีอะไรมากครับ แค่ไอ้เพื่อนผมทุกคนต่างก็เคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น พร้อมเห็นตรงกันว่าในฐานะมนุษย์บุรุษเพศ ดูเถิดชาวเรา! คุ้มแน่นอน (บางคนตามซื้อเก็บเลยครับ แหม อะไรจะชอบหนังขนาดนั้น) แต่ตัว May คนที่เล่นเป็นแวมไพร์สาวจากต่างดาวนั่นสวยจริงๆ ครับ น่ารักเอาเรื่อง ลอง Search ดูในเน็ทเองแล้วกันนะครับ ผมก็อยากเอารูปมาลง แต่อย่างที่บอก ในเรื่องเธอเล่นไม่เปลืองเสื้อแต่เปลืองตัว ลงมาที่นี่เดี๋ยวบล็อกผมจะโดนบล็อกเสียเองกันพอดี บอกแค่ว่า คุ้มที่จะดูแหละครับถ้าจะวัดจากประเด็นเนี้ย

เอ ผมว่าผมชักจะนอกเรื่องหนังไปหลายกิโลแล้วนะครับ ขอวกกลับมาก่อน สำหรับตัวหนังเอง ผมว่ามันก็ใช้ได้ครับ แม้คนเขียนนิยายเรื่องนี้จะออกมาสับก็ตาม ผมก็เข้าใจนะครับ เพราะความซับซ้อนในนิยายหายไปหมด อีกทั้งการต่อสู้รบกับแวมไพร์อวกาศก็อลังการตื่นตากว่ากันเยอะในหนังสือน่ะนะครับ แต่ถ้าไม่คิดมาก หนังก็เล่าตรงประเด็น ดาราก็เล่นได้ไม่เลว โดยเฉพาะ Peter Firth ที่มาแสดงเป็นท่านนายพลโคลิน เคน ผู้ร่วมตามล่าแวมไพร์กับคาลเซน หน้าตาแกดูมุ่งมั่นและฉลาดไม่เลวครับ นอกจากนี้หนังยังได้ Patrick Stewart เจ้าของบทกัปต้นพิคาร์ดหัวโป้งเหน่งมาแสดงเป็น ดร.อาร์มสตรอง นักจิตวิทยาที่พยายามเชื่อมจิตกับแวมไพร์นั่น

แต่หนังมันก็เรื่อยๆ น่ะครับ ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจเท่าไรนัก จริงๆ พล็อตน่าสนนะครับ ตอนต้นก็ทำได้ไม่เลว ให้อารมณ์พอๆ กับ Alien ภาคแรกตอนที่ลูกยานลงไปสำรวจเจอดงไข่เอเลี่ยนเลย แต่หลังจากนั้นหนังพยายามใส่ฉากอธิบายเหตุการณ์มากเกินไป เอะอะก็คุยกันๆๆ แทนที่จะตามล่าให้มันตื่นเต้นกับไปเลยจะเข้าท่ากว่า

แล้วแต่ละนะครับ ในฐานะหนังไซไฟ ผมว่ามันก็ไม่เลว ไม่ได้สยองมาก ไม่ตื่นเต้นมาก แต่ดูได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยผิดหวัง ยิ่งถ้าคุณเป็นบุรุษล่ะน่าจะให้อภัยหนังได้ไม่ยากครับ เล่นมีดาราสวยๆ มานำแสดงแบบ Opening ซะขนาดนั้น

แต่หนังก็ไม่ประสบความสำเร็จนะครับ ลงทุนไป 25 ล้าน เอาคืนมาได้แค่ 11 ล้านเท่านั้น สาเหตุสำคัญเนื่องจากหนังดันเปิดตัวสัปดาห์เดียวกับ Cocoon หนังมนุษย์ต่างดาวลงมายังโลกเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นคุณภาพคับจอครับ กำกับโดย Ron Howard แหม ก็สมควรแพ้ล่ะ แข่งกับใครไม่แข่ง

ผมว่าหนังดูได้ ไม่ผิดหวังครับ ชอบตรงการสร้างจินตนาการเอาแวมไพร์ไปบวกกับเอเลี่ยน แล้วยังได้ซอมบี้มาแจมอีก