ค้นหาหนัง

Licence to Kill | รหัสสังหาร 007 [James Bond: Timothy Dalton]

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น
Licence to Kill | รหัสสังหาร 007 [James Bond: Timothy Dalton]
เรื่องย่อ : Licence to Kill | รหัสสังหาร 007 [James Bond: Timothy Dalton]

เฟลิกซ์ ไลเตอร์ (David Hedison ) เจ้าหน้าที่ CIA เพื่อนเก่าผู้เคยร่วมงานกับเจมส์ บอนด์ (Timothy Dalton) มาหลายครั้งหลายหนถูกเจ้าพ่อค้ายาเสพติดระดับโลกอย่าง ฟรานซ์ ซานเชซ (Robert Davi) ซึ่งเคยถูกเฟลิกซ์และบอนด์ร่วมกันจับกุม ทำร้ายร่างกายจนพิการ มิหนำซ้ำยังฆ่าภรรยาของเฟลิกซ์ในคืนวันแต่งงาน หน่วยสืบราชการลับ MI6 ได้ให้ M (Robert Brown) เจ้านายของบอนด์ออกคำสั่งห้ามไม่ให้บอนด์ล้างแค้นในเรื่องส่วนตัวพร้อมทั้งยึดรหัส 007 และใบอนุญาตฆ่าคืน แต่บอนด์เลือกที่จะผ่าฝืนคำสั่งนั้น เขาใช้ทุกความสามารถและแหล่งข่าวที่มีเพื่อตามล้างแค้นซานเชสและทำลายองค์กรค้ายาเสพติดของมันให้สิ้นซาก

IMDB : tt0097742

คะแนน : 9



สมัยก่อนตอนดูนั้นออกจะรู้สึกแปลกหน้าแปลกอารมณ์กับบอนด์ภาคนี้ เพราะเขากลายเป็นพระเอกเดี่ยวท้าลุยแบบที่หนังสมัยนั้นนิยมทำกันออกมา จนออกจะเกิดคำถามเหมือนกันว่าไหงทีมงานถึงทิ้งเสน่ห์ตำรับของตัวเอง แล้วไปเดินตามรอยหนังพิมพ์นิยมเรื่องอื่นเข้าล่ะนั่น

แต่พอได้รู้ว่าทีมงานพยายามเพิ่มความเข้ม ความหม่น และความใหม่ให้กับบอนด์แล้ว ก็พอจะเข้าใจล่ะครับ แต่น่าเสียดายนิดๆ ที่ความใหม่ของบอนด์นั้นดันไม่ใช่ของใหม่สำหรับโลกภาพยนตร์ในเวลานั้นสักเท่าไร และก่อนหน้าบอนด์จะออกฉาย ก็มีหนังแอ็กชันที่ผสมสูตรใหม่กว่าออกมาอย่าง Deathwish (ก่อนบอนด์ภาคนี้จะออกฉาย ปู่ Charles Bronson ก็เอาสูตรนี้มาเล่นประมาณ 4 ภาคเข้าไปแล้ว), Robocop (อันนี้อัพเกรดตัวเอกให้เป็นหุ่นด้วย) ไหนจะหนังบู๊ลีลาใหม่ (ในตอนนั้น) อย่าง Die Hard และ Lethal Weapon อีก จึงไม่แปลกใจหากคนดูจะรู้สึกธรรมดากับบอนด์ภาคนี้ เรียกว่าใหม่กับบอนด์ แต่กับคนดูนั้นเจอมาเยอะแล้ว

แต่ถ้าว่ากันตามคุณภาพนะครับ บอนด์ภาคนี้ก็ยังมีความเข้มข้นในระดับที่ไม่เลว แอ็กชันก็ไหลมาเทมาพอๆ กับสถานการณ์กดดันชวนลุ้นทั้งหลาย อีกทั้งบอนด์ยังต้องใช้สมองในการวางแผนล่อให้พวกซานเชซเดินมาตกหลุมทีละคนหรือไม่ก็เสี้ยมให้มันกัดกันเอง โดยที่พึ่งพาอุปกรณ์พิเศษน้อยมาก ดังนั้นบอนด์ภาคนี้แม้จะติดว่าพี่แกดูเจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไป แต่เราก็ได้เห็นปฏิภาณไหวพริบของบอนด์ในปริมาณที่มากกว่าตอนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน

ด้านดาราก็นับว่าเลือกมาได้ไม่เลวครับ แต่กับบางบทก็ดูเหมือนจะใช้ไม่คุ้มเท่าไร อย่างสาวบอนด์ประจำตอน แพม บูเวียร์ที่รับบทโดย Carey Lowell ก็ดูทะมัดทะแมงไปกับบอนด์ได้ไม่เลว เพียงแต่บทสาวบอนด์ของเธอนี้ดูจะมีบทบาทน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับสาวบอนด์คนอื่นๆ, Davi ก็หายห่วงครับกับบทร้ายๆ แบบนี้ หน้าแกให้อยู่แล้ว ฝีมือท่าทางนี่น่ากลัวไปกันใหญ่, Hedison ก็แจ๋วเสมอในบทเฟลิกซ์ที่ดูเป็นมิตรกับบอนด์มากที่สุดในบรรดาคนแสดงเป็นเฟลิกซ์ทั้งหลาย

Talisa Soto มารับบท ลูเป้ ลาโมร่า สาวบอนด์อีกคนที่เสน่ห์ไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าที่คิด, Desmond Llewelyn กับบท Q ที่คราวนี้ออกมาทำงานนอกสถานที่เพื่อบอนด์โดยเฉพาะ และเรายังได้เห็น Benicio Del Toro สมัยละอ่อนกับบทลูกน้องตัวร้ายอีกรายของซานเชซ และ Pedro Armendáriz Jr. ลูกชายของ Pedro Armendáriz คนพ่อผู้ล่วงลับที่เคยแสดงบทคาริม เบย์ พันธมิตรของบอนด์ตอน From Russia With Love ก็มาร่วมแสดงด้วยในบทประธานาธิบดีเฮคเตอร์ โลเปซ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าบอนด์ตอนนี้ก็ยังโอเคครับ ถ้าไม่คิดมากและไม่ติดกับภาพบอนด์แบบเดิมๆ คิดซะว่าเป็นบอนด์นอกตำรามันก็ดูได้เรื่อยๆ อย่างน้อยผู้กำกับ John Glen ก็คุมหนังได้ไม่เลว เพียงแต่ลูกเล่นอาจไม่เยอะ ทำให้มีช่วงอืดชืดเยอะไปบ้าง และบอนด์ภาคนี้ยังยาวตั้ง 133 นาที จริงๆ ถ้าสั้นลงกว่านี้เหลือแค่ 2 ชั่วโมงมันอาจพอดีคำกว่านี้ก็ได้

เรียกว่าภาคนี้ดูได้ ไม่เลว แต่ก็ยังไม่สนุกเท่าบอนด์ตอนอื่นๆ หรือแม้แต่หนังแอ็กชันในแนวทางเดียวกันเรื่องอื่นๆ อย่าง Deathwish

สำหรับรายได้นั้น ภาคนี้ไม่ทำเงินอย่างแรงครับ สาเหตุสำคัญที่ภาคนี้ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้เลย คือ หนังฉายผิดจังหวะ เพราะในปี 1989 ที่ Licence to Kill ลงโรง มันมีหนังยักษ์อย่าง Batman, Indiana Jones and the Last Crusade, Lethal Weapon 2, The Abyss, Star Trek V: The Final Frontier, Honey, I Shrunk the Kids และ Ghostbusters II

…. บอนด์เลยโดนขยี้ ทำให้รายได้ในอเมริกาของบอนด์ ทำไปเพียง $33 ล้าน ในขณะที่ทุนสร้างล่อไป $32 ล้าน ยังไม่รวมค่าโฆษณาอีก ซึ่งไม่มีบอนด์ภาคไหนทำรายได้คาบลูกคาบดอกขนาดนี้มาก่อน ดีที่ได้รายได้ต่างประเทศมากู้หน้าไว้ (รวมทั่วโลกประมาณ $156 ล้านครับ)

เมื่อกระแสตอบรับออกมาไม่ดีนัก ทีมผู้สร้างจึงหยุดการผจญภัยของบอนด์ไว้ เพราะรู้ว่าคงไม่อาจหาอะไรแปลกใหม่ไปต่อกรกับหนังสมัยใหม่ที่อุดมจินตนาการและลูกเล่นได้ บอนด์จึงหยุดสร้างไปนานถึง 6 ปีครับ แต่เป็น 6 ปีที่ทีมงานพยายามบ่มเพาะสไตล์ให้คงที่ และหาจุดแข็งมาต่อกรกับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆ อันนำมาสู่บอนด์ยุคใหม่ใน Goldeneye