IMDB : tt0113492
คะแนน : 6
ในปี 2115 ยุคอนาคตที่โลกโดนทำลายจนเหลือเมืองใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง และหนึ่งในนั้นก็คือเมืองเมกกะซิตี้ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ร้ายและความเสื่อมโทรม จนทำให้ชาวเมืองต้องก่อตั้งกลุ่มบุคคลขึ้นมากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นทั้งตำรวจ และผู้พิพากษาในคนเดียว เขาเหล่านั้นคือ Judge หรือ ตุลาการนั่นเอง
และตุลการหมายเลขหนึ่งของเมืองก็ต้องเป็นจัดจ์ เดรดด์ (Sylvester Stallone) ของเราอยู่แล้วล่ะครับ ซึ่งการปกป้องเมืองก็เป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งเดรดด์โดนใส่ความว่าฆ่านักข่าวผู้หนึ่งเข้า และจากหลักฐานก็พิสูจน์ว่าเขาผิดจริง ซึ่งเขาไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย
และจากการสืบหาความจริง เขาก็ค้นพบว่าผู้ร้ายที่อยุ่เบื้องหลังก็ไม่ใช่ใคร นอกจาก ริโก้ (Armand Assante) อดีตคู่หูตุลาการของเขาที่โดนเขาสั่งลงโทษด้วยตนเอง แล้วเขายังพบความจริงยิ่งกว่านั้นคือ เขาและริโก้คือพี่น้องกันอีกด้วย งานนี้ก็เป็นศึกสายเลือดล่ะครับ แล้วริโก้ยังเป็นพวกบ้าคลั่งชอบทำลายด้วย แผนการณ์ของเขาคือการกลับมาสร้างกองทัพโคลนนิ่งเพื่อครอบครองเมือง
แล้วเดรดด์จะกลับมากู้ชื่อได้หรือไม่ และเมืองเมกกะซิตี้จะโดนทำลายไปเท่าไรกว่าเดรดด์จะกลับมาได้ ก็ต้องมาดูกันล่ะนะครับ
Judge Dredd นั้นก็สร้างจากฮีโร่การ์ตูนนะครับผม แต่มาจากทางฟากอังกฤษโน่น กำเนิดขึ้นเมื่อปี 1977 ซึ่งการ์ตูนที่ว่านี่ก็มีชื่อพอตัวที่บ้านเกิด แล้วก็มีคนคิดจะทำเป็นหนังมาตั้งแต่ปี 1977 แล้วนะครับ เขาผู้นั้นก็คือ Charles Lippincott แต่จากการเจรจากว่าจะได้เรื่องก็ปาเข้าไปตั้งปี 83 แต่ก็เหมือนตลกร้ายนะครับ เพราะพอ Lippincott เจรจาได้และจ้างคนเขียนบทได้ กลับไม่มีสตูดิโอไหนสนใจเลยแม้แต่รายเดียว
จากนั้นปี 86 Edward R. Pressman ผู้อำนวยการสร้างที่กำลังมีชื่อก็สนใจในหนังเรื่องนี้นะครับ ทีนี้บทเริ่มชัวร์มากขึ้น เพราะมีการคิดว่าจะสร้างโดยจับเอาเนื้อเรื่องจากการ์ตูนตอน The Return of Rico อันเป็นตอนที่ริโก้กลับมาตีกับเดรดด์ (อย่างที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ) แต่โปรเจคท์ก็ต้องมาชะงักอีกรอบเมื่อเกิดไม่มีผู้กำกับขึ้นมา
ต่อมาปี 92 Peter Briggs ที่ตอนนั้นกำลังดังครับ เพราะเขาเป็นคนเขียนบทเริ่มแรกของหนัง Alien Vs. Predator ก็โดนดึงตัวเข้ามาทำ ซึ่งเขาก็สนใจ และตอนนั้นยังมีข่าวด้วยว่า พี่บึ้ก Arnold Schwarzenegger จะมาแสดงนำ และพอมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง บทก็เลยพลอยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาด้วย โดยงานนี้บทเล็งเรื่องราวไปที่การให้จัดจ์เดรดด์ต้องเผชิญกับคู่แค้นตลอดกาลที่มีนามว่า จัดจ์เดธ (ตุลาการมรณะ) แทนที่จะให้เจอกับริโก้ แต่ก็ได้ข่าวว่าทีมผู้สร้างไม่ค่อยชอบบทหนังชุดนี้เลย เพราะมันเหมือนลอกการ์ตูนมาทั้งดุ้น
ต่อมา Peter Hewitt ผู้กำกับ Bill & Ted’s Bogus Journey ก็ได้รับเลือกให้มากำกับ โดยพี่บึ้ก Arnold ก็เห็นด้วย แต่แล้วปรากฏว่าไอ้ที่แน่ๆ ก็ยังไม่ชัวร์อีก เพราะพอทุกอย่างเข้าที่ แต่เรื่องบทดันยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะพวกทีมเขียนบทอย่าง Briggs ต้องการให้จัดจ์เดธมาเป็นวายร้าย เพราะอย่างที่บอกครับว่า เดธคือคู่แค้นของเดรดด์ แต่ Lippincott ผู้อำนวยการสร้างดั้งเดิมเขาอยากให้เก็บเดธไว้ก่อน เผื่อสร้างภาค 2
ทีนี้พอคุยกันไม่ได้ข้อสรุป Briggs ก็เลยออกจากโปรเจคท์ไปครับ (และได้ข่าวว่าแกออกไปตอนนั้นน่ะ เพื่อไปเขียนบท Freddy Vs. Jason น่ะครับ พี่แกขยันจับตัวประหลาดมา VS. กันจริงๆ แต่ในที่สุดแล้ว บทที่แกเขียนก็ไม่ได้ใช้ซักเรื่องครับ ทั้ง Alien Vs. Predator และ Freddy Vs. Jason น่ะ)
และแล้วบทก็เป็นไปตามที่ Lippincott ต้องการ นั่นคือได้ริโก้มาเป็นตัวร้าย แต่ทว่าพอบทมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและผู้กำกับยังไม่ลงตัวซะทีแบบนี้ พี่บึ้ก Arnold ของผมเลยหงุดหงิดครับ บอกเลิกสัญญาไปแสดง Last Action Hero แทน ทำให้ชื่อพี่สไลของผมได้เข้ามารับบทนี้แทน แต่เท่าที่ฟังดูดันกลายเป็นว่าทีมผู้สร้างสมหวัง เพราะจริงๆ เขาอยากได้พี่สไลมาเล่นบทนี้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ แต่พี่สไลแกไม่ว่างซะที (ท่าทางช่วงนั้นจะยุ่งอยู่กับ Rocky แล้วก็ Rambo น่ะ)
เฮ่อ หนังหนึ่งเรื่องกว่าจะได้สร้างนี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับ สำรับ JD นี้ก็ใช้เวลากว่า 18 ปีแน่ะ เหนื่อยแทนจริง
โอเค เรารู้ที่มาขอหนังแล้วนะครับ มาว่ากันที่ตัวหนังดีกว่า ซึ่งแน่นอนครับหนังลงทุนไปกว่า 70 ล้าน ดังนั้นงาน Effect ต่างๆ ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ นั่นคือทันสมัยและขณะเดียวกันก็ไม่ลืมโทนเดิมของการ์ตูน นั่นคือบ้านเมืองจะไฮเทคบนความเสื่อมโทรม ซึ่งผมว่าทำได้ดีนะครับ ข้าวของดูไฮเทคจริง แต่สภาพบ้านเมืองมันแหลวแหลกมากๆ แม้แต่บ้านของพวกผู้ดียังดูหม่นหมองอย่างชัดเจน ซึ่งก็คงมาจากการถ่ายภาพด้วยภาพเลยออกมาแบบนี้
โอเค โทนหนังดีครับ เข้ากับการ์ตูนดี และตัวหนังก็มีบทที่เข้าสูตรตำรวจปราบวายร้ายนั่นแหละ ซึ่งนาสนใจ แต่การเดินเรื่องยังไม่ถึงใจเท่าไหร่ คือเหมือนกับมันเดินไปเรื่อยๆ มากกว่าน่ะครับ เล่าๆๆๆ ไป แต่ไม่ค่อยใส่ความตื่นเต้นหรือฉากชวนลุ้นลงมาเลย ไอ้ที่ออกจะเข้าท่าบ้างก็ตอนขับมอเตอร์ไซค์เหาะได้ไล่ล่ากันช่วงค่อนเรื่องนั่นแหละ นอกนั้นออกจะธรรมดาไปหน่อย ซึ่งยังพอสนุกกับพวกฉากและเทคนิคน่ะครับเลยยังพอเพลินๆ แต่ถ้าวัดกันที่ฉากบู๊ล่ะก็ หนังยังมีตรงนี้ไม่มากเท่าไหร่
ด้านนักแสดงนั้น พี่สไล ผมว่าไม่เลวกับบทนี้นะครับ ท่าทางดูดี ผมว่าเหมาะกว่าพี่บึ้ก Arnold อีก เพียงแต่หากเทียบๆ กันแล้ว ผมว่าบทแบบตำรวจที่มีอารมณ์ขันแบบกวนๆ อย่างใน Demolition Man จะดูลื่นกว่าหน่อย ส่วนนางเอกของเรื่องอย่าง Diane Lane ในบทตุลาการเฮอร์ชี่ย์ แม้เธอจะยังสวยอยู่แต่บทไม่ค่อยมีอะไรครับ พอๆ กับ Max von Sydow ดารารุ่นเก๋าที่มาแสดงเป็นหัวหน้าตุลาการฟาร์โก้ ที่แม้จะยังคงฝีมือไว้ได้อย่างดี แต่ก็ไม่ค่อยมีบทเท่าไหร่
คนที่เด่นเข้าท่าก็ต้องยกให้ Rob Schneider ในบทเฟอร์กี้ โจรกระจอกจอมปากมาก ที่เพิ่มเสียงฮาให้กับหนังได้เยอะ และบอกได้อย่างว่าถ้าหนังไม่มีพี่แกนี่คงน่าเบื่อกว่านี้เยอะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าฉากบู๊มันไม่มากอะไร และโทนหนังมันเครียดๆ เสื่อมโทรมๆ หากไม่มีอารมณ์ขันจากพี่แก รับรองว่าหนังคงจืดแหงมๆ
ส่วนวายร้ายของเรื่อง ริโก้ ที่ได้ Armand Assante มารับไป ก้ยอมรับว่าแกคลั่งได้เฉียบครับ แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนประการหนึ่งหนังพี่สไลแกนะครับ เพราะส่วนมากศัตรูของเขาถ้าไม่ใช่ไอ้คลั่ง ก็ต้องเป็นไอ้บ้าเสียสติ ซึ่งก็อย่างที่บอกครับ คนปกติที่ไหนจะมาเป็นศัตรูกับพี่แกวะ โคตรจะอมตะขนาดนี้
ถ้าถามว่าหนังสนุกหรือไม่ ถ้าให้ว่าตามใจผมก็ขอบอกว่าไม่เลวน่ะครับ ดูเอามันส์พอเพลินๆ ก็ท่านจะไปคาดหวังอะไรจากหนังแอ๊คชั่นสไตล์พี่สไลในยุคหลังๆ นี่ล่ะครับ มีระเบิด มีอารมณ์ขัน มีฉากยิ่งใหญ่ให้ดูกันก็หมดแล้วล่ะ เอามันส์เข้าว่าเอาเว่อร์เข้าว่า ซึ่งหนังก็ตอบสนองความมันส์แบบชั่วครั้งชั่วคราวได้ดี
หนังกำกับโดย Danny Cannon ที่ตอนนี้สบายแฮไปแล้ว เนื่องจากแทงหวยถูกครับ เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมให้กำเนิด CSI ที่ตอนนี้ดังจนไม่รู้จะดังยังไง แล้วยังกำกับหนังอย่าง Goal! ด้วย ดังนั้นแม้ผลงานเรื่องนี้จะไม่ดัง แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ตกระกำลำบากหรอกครับ 5555
แต่ถ้าถามว่าแกเก่งมั้ยกับหนังเรื่องนี้ ก็คงตอบไม่ได้ เพราะตอนถ่ายทำหนังเรื่องนี้ พี่ Danny แกเคยออกมาบ่นครับว่า หนัง JD ที่ออกฉายนั้นมันไม่ใช่หนังที่แกทำเลยแม้แต่น้อย สคริปนี่ไปคนละเรื่องเลย และการที่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ก็เนื่องมาจากบัญชาของพี่สไลน่ะครับ สั่งให้ตัดหนังใหม่หมดตามประสงค์ของแก จนพี่ Danny ประกาศออกมาเลยว่าจะไม่ขอทำงานกับซูเปอร์สตาร์แบบนี้อีกแล้ว (เข็ดแล้วนั่นเอง)
สรุปว่าหนังดูเอามันส์ได้สบายครับ แต่ไม่มีอะไรกว่านั้น ผมก็ชอบนะ แม้มันจะไม่มีอะไรกว่านั้นก็ตาม