IMDB : tt0418763
คะแนน : 8
เคยดูเมื่อนานมาแล้ว จำได้แค่ตอนท้ายเลย พอกลับมาดูรอบนี้จึงเหมือนรีสตาร์ททุกอย่างใหม่หมด เอาจริงๆ รู้สึกว่าหนังมัน underrated พอสมควร ไม่รู้ว่าเพราะมันมาก่อนเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า , Jarhead (2005) เป็นหนัง ดราม่า/สงคราม ที่สร้างมาจากบันทึกชีวิตของทหารนายหนึ่งที่เดินทางไปรบในสงครามอ่าว (1990-1991) โดยเล่าตั้งแต่ช่วงที่ฝึกซ้อมในค่ายทหาร จนถึงตอนที่ถูกส่งไปประจำการชายแดน ซาอุดิอาระเบีย-คูเวต ซึ่งกินระยะเวลาหลาย 100 วัน เหล่าทหารหนุ่มพวกนี้ถูกฝึกฝนมาเพื่อฆ่า เป้าหมายเดียวของพวกเขาคือการใช้ความสามารถที่เรียนรู้มาเอาชนะข้าศึก (ที่พวกเขาเองก็ดูไม่ได้เข้าใจในการเมืองใดๆ) แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง สิ่งที่ต้องเผชิญกลับไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กัดกินจิตใจ และพรากสิ่งที่พวกเขาไปอย่างช้าๆ
จริงๆ สูตรหนังของ Jarhead ก็เหมือนหนังสงครามขึ้นหิ้งอย่าง Apocalypse Now (1979) ที่พูดถึงความโหดร้ายของสงครามที่ค่อยๆ ทำลายสภาพจิตใจของกลุ่มทหารที่กำลังคืบคลานเข้าสู่นรก ซึ่งในหนังเองก็มีการกล่าวถึงภาพยนตร์ดังกล่าวด้วยแบบเต็มๆ ในซีนที่เหล่าทหารกำลังนั่งดูฉาก Ride of the Valkyries อย่างสนุกสนาน และสะใจ ด้วยความคิดว่าเมื่อพวกเขาเดินทางไปยังสนามรบจริงๆ สงครามก็คงจะเติมเต็มเป้าหมายของพวกเขาไม่ต่างจากในภาพยนตร์ แต่กลับกัน การถูกทำลายสภาพจิตใจของทหารใน Jarhead คือการที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไร เหล่าเณรพวกนี้ถูกส่งมายังชายแดนเพื่อเตะบอล เดินเล่น คุยกัน ท่ามกลางทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลย (ไม่มีอะไรจริงๆ) ความโหยหาสงครามที่ไม่ได้คว้ามาของตัวละครคือสิ่งที่รบกวนจิตใจพวกเขา พวกเขาอยากยิงปืน พวกเขาอยากกำจัดศัตรู พวกเขาอยากรู้ว่าสงครามจริงๆ มันเป็นอย่างไร เพื่อชดเชยกับเวลาที่ฝึกฝน และเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายเดือน
เมนเดสออกแบบสถานการณ์ในเรื่องดีมากๆ มันเป็นหนังที่พูดถึงความว่างเปล่า ความแห้งแล้ง โดดเดี่ยว ไร้เป้าหมายแต่กลับน่าสนใจในระหว่างทางทั้งเรื่อง หนังค่อนข้างโฟกัส และพูดถึงสิ่งที่เหล่าตัวละครมีติดตัวมา และค่อยๆ สูญสลายหายไปตามเวลาที่พวกเขารอคอยการสู้รบ ตั้งแต่สภาพจิตใจ คนรัก รวมถึงเวลา ส่วนตัวเราเป็นคนที๋ซีเรียสกับเวลา เรารู้สึกว่าเวลามันมีค่า และควรถูกใช้อย่างมีความหมาย ซึ่ง Jarhead เป็นหนังที่ทำให้เราสัมผัสกับความสูญเปล่าทางเวลาได้อย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ text ขึ้นจำนวนวันที่พวกเขาประจำการ รวมถึงจำนวนทหารที่ทวีคูณขึ้น มันทั้งแสบ และเศร้าในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่องที่หนักหนามากๆ การที่ตัวละครไม่สามารถบรรจุเป้าหมายของตัวเองได้ภายหลังจากการลงทุนด้วยจำนวนเวลาแบบนั้น สำหรับเรามันคือโศกนาฏกรรมดีๆ นี่เอง
ชอบภาพดีกินส์ในเรื่องนี้มากๆ แบบ เชี่ยโคตรสวย และก็ทำงานกับเรื่องที่เขาอยากเล่ามากๆ ดีกินส์ดีไซน์ความว่างเปล่าให้ออกมางดงาม สัมผัสกับความแห้งแล้งแต่ไม่น่าเบื่อ รู้สึกว่าไอ้ฐานทัพกลางทะเลทรายดูเป็นอะไรที่จัดการยากมากๆ แต่เขาก็ทำออกมาได้ แต่ที่สุดๆ จริงก็คงเป็นพาร์ทที่ตะลุยฝนน้ำมัน กับกองเพลิงขนาดยักษ์ นี่แม่งคือตะลุยนรกของจริง แม้ว่าดูในวันนี้มันจะเห็นซีจีเป็นซีจีแล้วแต่ก็ยังสวย เพราะพวก compose องค์ประกอบต่างๆ ยังสุดยอดเหมือนเดิม เราถือว่า ดีกินส์ กับ เมนเดส นี่ถือเป็นอีกหนึ่งคู่เทพเลย คืองานหลังจากนั้นของเขาทั้งคู่ก็จะมีบรรยากาศแบบ Jarhead ให้เห็น แต่ก็มีเอกลักาณ์ในภาษาภาพแตกต่างกันไป (ที่รู้สึกได้คือไอ้ฉากไฟๆ ในความมืดนี่ทรงเดียวกันเลย ทั้งเรื่องนี้, Skyfall และ 1917)
ชอบช่วงท้ายมากๆ แบบเคว้งเลย ไม่ค่อยได้เห็นหนัง anti-war ที่จบด้วยความรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่ (อีกเรื่องที่นึกถึงก็คงเป็น Flags of Our Fathers ของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่พูดถึงนิยามฮีโร่ของอเมริกัน) เราชอบตั้งแต่ซีนที่เหล่าทหารเดินทางกลับบ้านพร้อมการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ของประชาชน ก่อนจะเจอกับทหารผ่านศึกเวียดนาม เป็นซีนที่ดีมากๆ รวมไปถึงมอนทาจตอนท้ายก็เจ็บ อย่างที่บอก การสูญเสียเวลาไปให้กับบางสิ่งที่ไม่เพียงเติมเต็มชีวิต แต่ยังพรากสิ่งที่รักไปมันน่าเจ็บใจ พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายเสมอ อยู่กับความผิดหวัง อยู่กับความผิดพลาด อยู่กับความว่างเปล่า