ค้นหาหนัง

Indiana Jones and the Last Crusade | ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด

Indiana Jones and the Last Crusade | ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด
เรื่องย่อ : Indiana Jones and the Last Crusade | ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด

Indiana Jones and the Last Crusade ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3: ศึกอภินิหารครูเสด สรุปย่อเรื่องราวในปี 1983 อินดี้.(แฮริสัน ฟอร์ด).ทราบข่าวว่า พ่อของเขา ซึ่งเป็นนักโบราณคดี ศาสตราจารย์เฮนรี่ โจนส์.(ฌอน คอนเนอรี่).ได้หายตัวไป ในขณะที่เขากำลังตามหาสิ่งของชิ้นหนึ่ง อินดี้ จึงเริ่มออกเดินทางเพื่อตามหาพ่อและ.ก็ได้พบกับสมุดไดอารี่ของพ่อที่เขียนแผนที่และ.คำอธิบายต่างๆเด้วยลายมือของเขาเอง เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโลกที่ถูกซ่อนไว้ รวมไปถึง Holy Grail จานที่เชื่อกันว่า พระเยซูใช้กินอาหารในมื้อสุดท้ายด้วยงานนี้ ทำให้อินดี้ ต้องเข้าไปผจญภัยในดงของพวกนาซีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเข้าไปช่วยพ่อของเขาให้ และ.แย่งชิงไดอารี่กับจานโฮลี่ เกรล กลับคืนมาจากพวกนาซีจอมโหดเหล่านี้ให้ได้

IMDB : tt0097576

คะแนน : 10



สำหรับการกลับมาของพี่อินดี้ภาคนี้ พูดได้ว่ามาพร้อมความชอกช้ำระกำทรวงของพี่ Steven Spielberg โดยแท้ เนื่องจากภาคที่แล้วโดนบ่นสับซะหนักหน่วงนั่นแหละครับ สมัยนี้นักดูหนังอาจไม่เห็นว่ามันจะแย่เท่าไร ถือเป็นหนังผจญภัยชั้นดีด้วยซ้ำไป แต่คนสมัยนั้นด่าอินดี้ภาคสองจนหูอื้อ ในแง่ว่าไม่สนุกเท่าตอนแรก และพ่อแม่ผู้ปกครองหลายรายพากันตำหนิความหม่นมืดของหนัง เรียกว่าตกอยู่ในสภาพเดียวกับที่ Batman Returns โดนเลยครับ

นอกจากนี้ Spielberg ยังมาช้ำต่ออีกสองรอบติดๆ กับ The Color Purple (1985) และ Empire of the Sun (1987) ที่พี่แกอยากลองเปลี่ยนแนวมาทำหนังชีวิตระดับคุณภาพ แต่การตอบรับไม่ค่อยดีนัก ตัวหนังแม้จะไม่เลว แต่ก็ยังไม่ดี เรื่องแรกแม้จะทำเงินเกือบร้อยล้าน แต่เรื่องหลังได้ไปแค่ 22 ล้านเท่านั้น ส่วนคำวิจารณ์ก็ออกมาในแนวคล้ายกันว่า Spielberg ไม่เหมาะจะทำหนังชีวิตเพราะชั่วโมงบินยังไม่เพียงพอ บางเจ้าก็บอกให้เขากลับไปทำหนังแฟนตาซีขายความบันเทิงอย่างเดิมดีกว่ามั้ง

เจอแบบนี้เข้า Spielberg เลยจัดแจงทิ้งโปรเจคท์หนังคุณภาพอย่าง Rain Man และ Big ให้คนอื่นทำไป พร้อมประกาศทำอินดี้ภาค 3 ทันที ด้วยเหตุผลสองประการครับ

ข้อแรก คือทำหนังชุดให้ครบสามตอนตามที่เอ่ยปากสัญญากับ George Lucas ไว้

และเหตุผลข้อสองคือ เพื่อลบคำสบประมาทที่โดนรุมบ่นแบบซ้ำซ้อน เรียกว่างานนี้พี่แกหมายมั่นจะแก้มือ ทวงตำแหน่งผู้กำกับแถวหน้าพร้อมลบคำสบประมาทไปในคราวเดียว

แต่ก็ต้องชม Spielberg ที่ไม่ได้ทำอินดี้ภาคสามด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ตรงกันข้ามครับ ครั้งนี้เขาและ Lucas เตรียมตัวกันแบบตั้งใจยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา จน Spielberg เองออกมาบอกว่านี่เป็นการถ่ายทำหนังอินเดียน่า โจนส์ครั้งที่สนุกที่สุด ซ้ำผลงานชิ้นนี้ยังกลายเป็นอินดี้ตอนที่เขาชอบมากที่สุดอีกต่างหาก (ผมก็ชอบที่สุดด้วยเหมือนกันครับ)

เมื่อหัวเรือใหญ่ออกปากว่าจะทำต่อแน่นอน ก็ได้เวลาระดมไอเดียตามระเบียบ ทุกฝ่ายพากันจับตาว่าสองนักสร้างหนังสุดดังของฮอลลีวู้ดจะนำอินดี้ไปเจอกับอะไรอีก และคำตอบแรกก็คือ… คุณอาจไม่เชื่อนะครับ แต่พี่ Spielberg เกิดอยากจะพาอินดี้ไปพบกับ ซุนหงอคง… อีกแล้ว

ถ้าถามว่าเหตุใด Spielberg ถึงฝังใจจะทำเรื่องเกี่ยวกับราชาวานรตัวนี้ให้ได้ ก็อธิบายได้เป็นสองเหตุผลครับ อย่างแรกคือตัวละครซุนหงอคงถือว่ามีเสน่ห์และลูกเล่นเป็นกระบุง ฤทธิ์เดชเยอะจน Spielberg อยากจับมาสร้างสีสันให้การผจญภัยครั้งที่ 3 ของอินดี้

เหตุผลประการที่สองคือ บุคลิกของราชาวานรมีจุดเด่นได้แก่ “ความเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต” ครบถ้วนทั้งความซุกซน ขี้เล่น สร้างความหฤหรรษ์โดยไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ใดๆ บุคลิกแบบนี้แหละที่ Spielberg สัมผัสได้ว่ามันช่างคล้ายกับตัวเขาเสียเหลือเกิน อันเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาหลงใหลในคาแร็คเตอร์ของปีเตอร์แพนนั่นแหละ เขาทำภาพยนตร์แต่ละชิ้นโดยมีกลิ่นอายของจินตนาการแบบเด็กๆ แฝงอยู่เสมอ และมักจะวาดเรื่องราวในสไตล์สนุกสนานลิงโลด ปลดปล่อยความฝันแบบเต็มที่ ซึ่งนี่คือเหตุหลักที่ทำให้งานแนวแฟนตาซีผจญภัยของเขาได้รับคำชมเสมอ เพราะมันมาพร้อมจินตนาการที่ชักชวนให้ผู้ชมหวนรำลึกถึงความฝันในวัยเยาว์ และเขาก็หมายมั่นว่าจะนำเอาความซนเป็นลิงของราชาวานร (The Monkey King) มาถ่ายทอดเพื่อดึงเอาความเป็นเด็กในตัวอินเดียน่า โจนส์ออกมาเป็นของฝากคนดูให้รู้จักแอดเวนเจอร์ฮีโรคนนี้มากขึ้นอีกขั้น

Spielberg ตั้งมั่นจะพาพี่อินดี้ไปเจอกับหงอคงให้ได้ เลยมอบหมายงานเขียนบทให้ Chris Columbus เจ้าของบทหนังที่ Spielberg อำนวยการสร้างไปหลายเรื่อง อย่าง Gremlins (1984), The Goonies (1985) และ Young Sherlock Holmes (1985) ได้มาเป็นบทร่างของ Indiana Jones and the Monkey King

แต่ผลที่ได้เล่นเอา Spielberg พูดไม่ออก เพราะ Columbus ยำเรื่องไปคนละทางกับตำนานโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่การจับเอาราชาวานรไปโผล่ที่อัฟริกา แดนกาฬทวีป (พระถังซัมจั๋งไปทัวร์แถวนั้นตอนไหนหว่า) ยิ่งไปกว่านั้นยังลดขั้นเฮียซุนของเรา จากราชาวานรกลายเป็นเจ้าชายวานรแทน ส่วนสมบัติที่ต้องหาประจำตอนในบทร่างแรกก็คือลูกท้อเซียนที่ใช้ชุบชีวิตคนได้ (แต่หากคนใจไม่บริสุทธิ์กินก็จะกลายเป็นคร่าชีวิต) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพลองของซุนหงอคงในบทร่างที่สอง ซึ่งบทร่างหลังนี่ยังเปลี่ยนซุนหงอคงให้กลายเป็นตัวร้ายอีกด้วย และภารกิจของอินดี้ก็คือต้องทำลายพลองของซุนหงอคงนั่นเอง

เจอแบบนี้เข้า Spielberg ก็วางบทที่ Columbus เขียนขึ้นไว้ที่เดิม นั่งกุมขมับอยู่พักใหญ่ เพราะตัวเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะยำตำนานเฮ่งเจียเข้ากับอินเดียน่า โจนส์ได้อย่างไร

ในที่สุดก็ถอดใจ ไปนั่งปรึกษา Lucas ซึ่งขานี้ก็ยังอยากพาอินดี้ไปผจญบ้านผีสิงอีกเหมือนเคย แต่ Spielberg ก็ปฏิเสธไอเดียนี้ เพราะเคยเขียนบทสร้าง Poltergeist (1982) หนังแนวบ้านผีสิงไปแล้ว ไม่อยากทำย่ำรอยเดิม Lucas ก็เลยเสนอเป็นว่า ให้อินดี้ไปตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ หรือ The Holy Grail ที่ตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นจอกที่พระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้ายและยังเป็นจอกที่รองรับพระโลหิตตอนถูกตรึงกางเขนด้วย (Grail อันเดียวกับที่ Dan Brown นำมาผูกปมใหม่กลายเป็นเรื่อง The DaVinci Code นั่นแหละครับ)

ตอนแรก Spielberg ไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกว่าตำนานนี้เป็นความเชื่อที่ชาวคริสต์ศรัทธามากกว่าเรื่องหีบศักดิ์สิทธิ์ซะอีก จนอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านได้หากเขียนเรื่องไม่ดีล่ะก็ ยิ่งไปกว่านั้นคณะตลก Monty Python ก็เพิ่งเอาตำนานจอกมาล้อเลียนใน Monty Python and the Holy Grail แบบนี้หากเอามาเล่นซ้ำอีกมีหวังความขลังอาจไม่เหลือ คนดูอาจไม่สนใจตีตั๋วเข้าชมก็ได้

แต่ Lucas แย้งว่า ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ผู้คนชาวคริสต์ได้ยินมานานแสนนาน เรียกว่าหากจะมีการตามล่าสมบัติทางศาสนาสักชิ้นล่ะก็ ไม่มีชิ้นไหนที่น่าค้นหาไปกว่าจอกแน่นอน คนพร้อมจะติดตามชมแน่นอน “หรือคุณจะไม่อยากรู้ล่ะว่าจอกอยู่ที่ไหน” Lucas เคยเอ่ยปากถาม Spielberg ด้วยคำถามนี้ ซึ่งได้ผลครับ เพราะแม้แต่ Spielberg เองก็ใคร่รู้เหมือนกันว่าจอกมันอยู่ที่ไหนกันแน่ ลองว่าเขายังอยากรู้ หากเขาผูกเรื่องดีๆ เขียนบทให้สมจริง ทำไมผู้ชมจะไม่อยากรู้บ้าง

แต่ครั้นจะเอาเรื่องการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์มาเล่าเพียวๆ อินดี้ภาค 3 ก็คงไม่ต่างจากภาคแรกที่ตามหาสมบัติเพียงอย่างเดียว มันควรมีอะไรแทรกลงไประหว่างสองชั่วโมงของเรื่องราว และ Spielberg ก็คิดว่าไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า “ปมพ่อลูก” อันเป็นปมอมตะที่เขาชอบนำมาบอกเล่าผ่านผลงานเสมอ ซึ่งพ่อลูกในเรื่องก็หนีไม่พ้นตัวอินดี้กับพ่อน่ะแหละ ซึ่งถือว่าเป็นทางออกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขาเลยครับ เพราะเจตนาดั้งเดิมที่เขาอยากเอาซุนหงอคงมาเจอพี่อินดี้ก็เพื่อดึงอารมณ์เด็กๆ ของอินดี้ออกมา แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็แก้โดยเอาพ่อบังเกิดเกล้ามาร่วมผจญภัยแทน แบบนี้บทหนังก็สามารถเรียกเอาความเป็นเด็กของพ่อนักผจญภัยของเราออกมาได้เหมือนกัน และยังเล่นกับประเด็นความสัมพันธ์ได้อีกต่างหาก ในขณะที่ถ้าเอาเฮียซุนมาล่ะก็ คงเล่นเรื่องความผูกพันไม่ได้แน่ๆ

พอได้ประเด็นครบ ก็เดินเครื่องเรื่องบท โดย Lucas ลงมือคิดเรื่องร่วมกับ Menno Meyjes ที่เคยเขียนบท The Color Purple ให้ Spielberg มาก่อน พร้อมทั้งช่วยเกลาบท Empire of the Sun ให้อีกหนึ่งงาน (แต่ไม่เอาเครดิต) พอผูกเรื่องเสร็จก็มีการตาม Jeffrey Boam มาเขียนพล็อตต่อให้จบ และขอแรง Tom Stoppard มาช่วยเกลาบทสนทนาให้เรียบร้อย แทรกทั้งความคมและอารมณ์ขัน ซึ่ง Spielberg ย้ำกับทีมงานเลยว่า ภาคนี้ต้องดูแล้วอารมณ์ดี อย่าให้หนักหัวแบบตอนก่อนเป็นเด็ดขาด (เป็นการแก้มือที่แข็งขันอะไรจะขนาดนั้น)

ได้เรื่องพร้อมทำก็ถึงเวลาหาคนมาแสดง นอกจาก Ford ที่เกิดมาเพื่อบทอินดี้แล้ว อีกบทที่สำคัญก็คือ ดร. เฮนรี่ โจนส์ บิดาแท้ๆ ของอินเดียน่า ซึ่ง Spielberg ไม่ต้องการใครนอกจาก Sean Connery เท่านั้น เหตุผลก็น่ารักมากครับ เพราะเขาอยากให้เจมส์ บอนด์ต้นตำรับมาเป็นพ่อให้อินเดียน่า โจนส์น่ะสิ และถ้าย้อนไปถึงตอนแรกที่ทำหนังชุดนี้ Spielberg ก็สร้างคาแร็คเตอร์ของอินดี้ มาจากเจมส์ บอนด์นี่แหละ อีกทั้งพลังฝีมือของ Connery แทบไม่ต้องพูดถึงครับ ตอนนั้นเพิ่งคว้าออสการ์หมาดๆ จากบทนายตำรวจเสือเฒ่าซ่อนเล็บ จิมมี่ มาโลน ในหนังแก๊งสเตอร์สุดยอดเยี่ยม The Untouchables (1987)

นอกจากนี้ยังมีการตามตัวสองชูรสจากภาคแรกอย่าง ดร.มาร์คัส โบรดี้ (Denholm Elliott) เพื่อนซี้ของทั้งอินดี้และพ่อ กับ ซัลลาห์ (John Rhys-Davies) ยอดนักขุดอารมณ์ดีแห่งแดนไอยคุปต์กลับมาร่วมขบวนเสริมความฮาอีกต่างหาก ตบท้ายด้วยบทรับเชิญนิดๆ ตอนต้นเรื่องของ River Phoenix ที่ Ford แนะนำให้มารับบทอินดี้วัยหนุ่มโดยเฉพาะ เพราะสองคนนี้เคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Mosquito Coast (1986) และ Ford ก็ประทับใจในฝีมือของหนุ่มน้อยคนนี้มาก เรียกว่าภาคนี้แค่พลังดาราก็เสริมความแข็งแกร่งรับประกันความเข้มข้นได้แล้ว

แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต้น โดยมีทุนในกระเป๋าราว $36 ล้านเหรียญ โลเกชั่นก็เยอะราวกับถ่ายหนัง 007 ไปทั้งเวนิซ อิตาลี, สเปน, จอร์แดน, ออสเตรีย และเยอรมัน พอกลับมาที่อเมริกันก็ไปตั้งกองที่รัฐโคโลราโด, ยูทาห์, เท็กซัส และปิดท้ายด้วยนิวเม็กซิโก แม้จะตระเวนขนาดนี้ แต่ Spielberg กลับบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ ไม่มีคำว่าเหนื่อย เพราะได้ดารามืออาชีพมาช่วยให้งานไหลลื่นแบบสุดๆ Ford ก็รู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว Connery ก็สวมวิญญาณคุณพ่อนักโบราณคดีที่แอบกัดลูกอยู่ประจำ ซ้ำยังไม่มีวิชาป้องกันตัว จึงกลายเป็นตาลุงผู้น่ารัก บ่นบ้างวิชาการบ้างไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ข่าววงในยังว่ากันว่า Spielberg สนุกกับการถ่ายทำเป็นพิเศษเนื่องจากดาราส่วนใหญ่ที่มาเสนอหน้าล้วนแต่เคยผ่านงานหนัง 007 มาแล้วทั้งสิ้น นอกจาก Connery แล้ว Rhys-Davies ก็เคยเล่นเป็นนายพลที่เกือบโดนบอนด์ลอบสังหารใน The Living Daylights, Alison Doody ที่รับบท ดร.เอลซ่า ชไนเดอร์ สาวอินดี้ในภาคนี้ก็เคยเป็นสาวตัวร้ายใน A View to A Kill, Billy J. Mitchell กับ Pat Roach ดาราสมทบในเรื่องก็เคยร่วมงานใน Never Say Never Again มาก่อน, Vernon Dobtcheff ก็เคยเล่นเป็น แม๊กซ์ คัลบา จาก The Spy Who Loved Me, Stefan Kalipha ที่มาเล่นเป็นพลปืนประจำรถถังก็เคยรับบท เฮคเตอร์ กอนซาเลส ผู้ร้ายแว่นตาเหลี่ยมจาก For Your Eyes Only ซึ่งใน 007 ตอนดังกล่าว คนที่รับบทเป็นตัวร้ายรายใหญ่ก็คือ Julian Glover ซึ่งพี่แกก็มาแสดงเป็นวอลเตอร์ โดโนแวน วายร้ายตัวเอ้ในหนังอินดี้ภาคนี้ด้วย… แบบนี้จะไม่ให้ Spielberg สนุกได้ยังไงล่ะครับ ถ่ายทำไปก็คุยกันไป แลกเปลี่ยนความคิดความชอบกัน เพลินออกจะตาย

พอได้ประเด็นครบ ก็เดินเครื่องเรื่องบท โดย Lucas ลงมือคิดเรื่องร่วมกับ Menno Meyjes ที่เคยเขียนบท The Color Purple ให้ Spielberg มาก่อน พร้อมทั้งช่วยเกลาบท Empire of the Sun ให้อีกหนึ่งงาน (แต่ไม่เอาเครดิต) พอผูกเรื่องเสร็จก็มีการตาม Jeffrey Boam มาเขียนพล็อตต่อให้จบ และขอแรง Tom Stoppard มาช่วยเกลาบทสนทนาให้เรียบร้อย แทรกทั้งความคมและอารมณ์ขัน ซึ่ง Spielberg ย้ำกับทีมงานเลยว่า ภาคนี้ต้องดูแล้วอารมณ์ดี อย่าให้หนักหัวแบบตอนก่อนเป็นเด็ดขาด (เป็นการแก้มือที่แข็งขันอะไรจะขนาดนั้น)

ได้เรื่องพร้อมทำก็ถึงเวลาหาคนมาแสดง นอกจาก Ford ที่เกิดมาเพื่อบทอินดี้แล้ว อีกบทที่สำคัญก็คือ ดร. เฮนรี่ โจนส์ บิดาแท้ๆ ของอินเดียน่า ซึ่ง Spielberg ไม่ต้องการใครนอกจาก Sean Connery เท่านั้น เหตุผลก็น่ารักมากครับ เพราะเขาอยากให้เจมส์ บอนด์ต้นตำรับมาเป็นพ่อให้อินเดียน่า โจนส์น่ะสิ และถ้าย้อนไปถึงตอนแรกที่ทำหนังชุดนี้ Spielberg ก็สร้างคาแร็คเตอร์ของอินดี้ มาจากเจมส์ บอนด์นี่แหละ อีกทั้งพลังฝีมือของ Connery แทบไม่ต้องพูดถึงครับ ตอนนั้นเพิ่งคว้าออสการ์หมาดๆ จากบทนายตำรวจเสือเฒ่าซ่อนเล็บ จิมมี่ มาโลน ในหนังแก๊งสเตอร์สุดยอดเยี่ยม The Untouchables (1987)

นอกจากนี้ยังมีการตามตัวสองชูรสจากภาคแรกอย่าง ดร.มาร์คัส โบรดี้ (Denholm Elliott) เพื่อนซี้ของทั้งอินดี้และพ่อ กับ ซัลลาห์ (John Rhys-Davies) ยอดนักขุดอารมณ์ดีแห่งแดนไอยคุปต์กลับมาร่วมขบวนเสริมความฮาอีกต่างหาก ตบท้ายด้วยบทรับเชิญนิดๆ ตอนต้นเรื่องของ River Phoenix ที่ Ford แนะนำให้มารับบทอินดี้วัยหนุ่มโดยเฉพาะ เพราะสองคนนี้เคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Mosquito Coast (1986) และ Ford ก็ประทับใจในฝีมือของหนุ่มน้อยคนนี้มาก เรียกว่าภาคนี้แค่พลังดาราก็เสริมความแข็งแกร่งรับประกันความเข้มข้นได้แล้ว

แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต้น โดยมีทุนในกระเป๋าราว $36 ล้านเหรียญ โลเกชั่นก็เยอะราวกับถ่ายหนัง 007 ไปทั้งเวนิซ อิตาลี, สเปน, จอร์แดน, ออสเตรีย และเยอรมัน พอกลับมาที่อเมริกันก็ไปตั้งกองที่รัฐโคโลราโด, ยูทาห์, เท็กซัส และปิดท้ายด้วยนิวเม็กซิโก แม้จะตระเวนขนาดนี้ แต่ Spielberg กลับบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ ไม่มีคำว่าเหนื่อย เพราะได้ดารามืออาชีพมาช่วยให้งานไหลลื่นแบบสุดๆ Ford ก็รู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว Connery ก็สวมวิญญาณคุณพ่อนักโบราณคดีที่แอบกัดลูกอยู่ประจำ ซ้ำยังไม่มีวิชาป้องกันตัว จึงกลายเป็นตาลุงผู้น่ารัก บ่นบ้างวิชาการบ้างไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ข่าววงในยังว่ากันว่า Spielberg สนุกกับการถ่ายทำเป็นพิเศษเนื่องจากดาราส่วนใหญ่ที่มาเสนอหน้าล้วนแต่เคยผ่านงานหนัง 007 มาแล้วทั้งสิ้น นอกจาก Connery แล้ว Rhys-Davies ก็เคยเล่นเป็นนายพลที่เกือบโดนบอนด์ลอบสังหารใน The Living Daylights, Alison Doody ที่รับบท ดร.เอลซ่า ชไนเดอร์ สาวอินดี้ในภาคนี้ก็เคยเป็นสาวตัวร้ายใน A View to A Kill, Billy J. Mitchell กับ Pat Roach ดาราสมทบในเรื่องก็เคยร่วมงานใน Never Say Never Again มาก่อน, Vernon Dobtcheff ก็เคยเล่นเป็น แม๊กซ์ คัลบา จาก The Spy Who Loved Me, Stefan Kalipha ที่มาเล่นเป็นพลปืนประจำรถถังก็เคยรับบท เฮคเตอร์ กอนซาเลส ผู้ร้ายแว่นตาเหลี่ยมจาก For Your Eyes Only ซึ่งใน 007 ตอนดังกล่าว คนที่รับบทเป็นตัวร้ายรายใหญ่ก็คือ Julian Glover ซึ่งพี่แกก็มาแสดงเป็นวอลเตอร์ โดโนแวน วายร้ายตัวเอ้ในหนังอินดี้ภาคนี้ด้วย… แบบนี้จะไม่ให้ Spielberg สนุกได้ยังไงล่ะครับ ถ่ายทำไปก็คุยกันไป แลกเปลี่ยนความคิดความชอบกัน เพลินออกจะตาย

พอได้ประเด็นครบ ก็เดินเครื่องเรื่องบท โดย Lucas ลงมือคิดเรื่องร่วมกับ Menno Meyjes ที่เคยเขียนบท The Color Purple ให้ Spielberg มาก่อน พร้อมทั้งช่วยเกลาบท Empire of the Sun ให้อีกหนึ่งงาน (แต่ไม่เอาเครดิต) พอผูกเรื่องเสร็จก็มีการตาม Jeffrey Boam มาเขียนพล็อตต่อให้จบ และขอแรง Tom Stoppard มาช่วยเกลาบทสนทนาให้เรียบร้อย แทรกทั้งความคมและอารมณ์ขัน ซึ่ง Spielberg ย้ำกับทีมงานเลยว่า ภาคนี้ต้องดูแล้วอารมณ์ดี อย่าให้หนักหัวแบบตอนก่อนเป็นเด็ดขาด (เป็นการแก้มือที่แข็งขันอะไรจะขนาดนั้น)

ได้เรื่องพร้อมทำก็ถึงเวลาหาคนมาแสดง นอกจาก Ford ที่เกิดมาเพื่อบทอินดี้แล้ว อีกบทที่สำคัญก็คือ ดร. เฮนรี่ โจนส์ บิดาแท้ๆ ของอินเดียน่า ซึ่ง Spielberg ไม่ต้องการใครนอกจาก Sean Connery เท่านั้น เหตุผลก็น่ารักมากครับ เพราะเขาอยากให้เจมส์ บอนด์ต้นตำรับมาเป็นพ่อให้อินเดียน่า โจนส์น่ะสิ และถ้าย้อนไปถึงตอนแรกที่ทำหนังชุดนี้ Spielberg ก็สร้างคาแร็คเตอร์ของอินดี้ มาจากเจมส์ บอนด์นี่แหละ อีกทั้งพลังฝีมือของ Connery แทบไม่ต้องพูดถึงครับ ตอนนั้นเพิ่งคว้าออสการ์หมาดๆ จากบทนายตำรวจเสือเฒ่าซ่อนเล็บ จิมมี่ มาโลน ในหนังแก๊งสเตอร์สุดยอดเยี่ยม The Untouchables (1987)

นอกจากนี้ยังมีการตามตัวสองชูรสจากภาคแรกอย่าง ดร.มาร์คัส โบรดี้ (Denholm Elliott) เพื่อนซี้ของทั้งอินดี้และพ่อ กับ ซัลลาห์ (John Rhys-Davies) ยอดนักขุดอารมณ์ดีแห่งแดนไอยคุปต์กลับมาร่วมขบวนเสริมความฮาอีกต่างหาก ตบท้ายด้วยบทรับเชิญนิดๆ ตอนต้นเรื่องของ River Phoenix ที่ Ford แนะนำให้มารับบทอินดี้วัยหนุ่มโดยเฉพาะ เพราะสองคนนี้เคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Mosquito Coast (1986) และ Ford ก็ประทับใจในฝีมือของหนุ่มน้อยคนนี้มาก เรียกว่าภาคนี้แค่พลังดาราก็เสริมความแข็งแกร่งรับประกันความเข้มข้นได้แล้ว

แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต้น โดยมีทุนในกระเป๋าราว $36 ล้านเหรียญ โลเกชั่นก็เยอะราวกับถ่ายหนัง 007 ไปทั้งเวนิซ อิตาลี, สเปน, จอร์แดน, ออสเตรีย และเยอรมัน พอกลับมาที่อเมริกันก็ไปตั้งกองที่รัฐโคโลราโด, ยูทาห์, เท็กซัส และปิดท้ายด้วยนิวเม็กซิโก แม้จะตระเวนขนาดนี้ แต่ Spielberg กลับบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ ไม่มีคำว่าเหนื่อย เพราะได้ดารามืออาชีพมาช่วยให้งานไหลลื่นแบบสุดๆ Ford ก็รู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว Connery ก็สวมวิญญาณคุณพ่อนักโบราณคดีที่แอบกัดลูกอยู่ประจำ ซ้ำยังไม่มีวิชาป้องกันตัว จึงกลายเป็นตาลุงผู้น่ารัก บ่นบ้างวิชาการบ้างไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ข่าววงในยังว่ากันว่า Spielberg สนุกกับการถ่ายทำเป็นพิเศษเนื่องจากดาราส่วนใหญ่ที่มาเสนอหน้าล้วนแต่เคยผ่านงานหนัง 007 มาแล้วทั้งสิ้น นอกจาก Connery แล้ว Rhys-Davies ก็เคยเล่นเป็นนายพลที่เกือบโดนบอนด์ลอบสังหารใน The Living Daylights, Alison Doody ที่รับบท ดร.เอลซ่า ชไนเดอร์ สาวอินดี้ในภาคนี้ก็เคยเป็นสาวตัวร้ายใน A View to A Kill, Billy J. Mitchell กับ Pat Roach ดาราสมทบในเรื่องก็เคยร่วมงานใน Never Say Never Again มาก่อน, Vernon Dobtcheff ก็เคยเล่นเป็น แม๊กซ์ คัลบา จาก The Spy Who Loved Me, Stefan Kalipha ที่มาเล่นเป็นพลปืนประจำรถถังก็เคยรับบท เฮคเตอร์ กอนซาเลส ผู้ร้ายแว่นตาเหลี่ยมจาก For Your Eyes Only ซึ่งใน 007 ตอนดังกล่าว คนที่รับบทเป็นตัวร้ายรายใหญ่ก็คือ Julian Glover ซึ่งพี่แกก็มาแสดงเป็นวอลเตอร์ โดโนแวน วายร้ายตัวเอ้ในหนังอินดี้ภาคนี้ด้วย… แบบนี้จะไม่ให้ Spielberg สนุกได้ยังไงล่ะครับ ถ่ายทำไปก็คุยกันไป แลกเปลี่ยนความคิดความชอบกัน เพลินออกจะตาย

ถ้าใครเคยชมเบื้องหลังหนังภาคนี้แล้วจะงงครับ เพราะไม่รู้ว่าทีมงานกำลังถ่ายหนังหรือมาปิคนิกกันแน่ มันดูสบายๆ เสียนี่กระไร ซึ่ง Spielberg ก็เคยเล่นเท่ห์อยู่ครั้งหนึ่ง โดยในทีเซอร์ (ตัวอย่างแรก) ของหนัง แทนที่จะเอาฉากเร้าใจมาใส่เรียกน้ำย่อยผู้ชม กลับเอาภาพเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันมาใส่จอแทน ลองไปโหลดดูตามเน็ตได้ครับ แล้วคุณจะทึ่งในความเท่ห์ของพี่แก และไอ้ทีเซอร์นี่ก็สร้างปรากฏการณ์เล็กๆ แม้จะไม่มีฉากในหนังให้ดู แต่ทำให้คนอยากดูได้ อืมม์ คารวะทีหนึ่งเถอะครับท่าน Spielberg

Indiana Jones and the Last Crusade ออกสู่สายตาผู้ชมเมื่อ 24 พฤษภาคม ปี 1989 ปูพรมโรงฉายถึง 2,327 แห่ง กระแสตอบรับก็พูดได้เต็มปากว่าดีเยี่ยม งานนี้ Spielberg แก้มือสำเร็จสมดังใจ เพราะคำติเดียวที่พอจะมีเล็ดรอดคือคำว่า “หนังภาคแรกยอดเยี่ยมกว่า” เท่านั้น แต่ถ้าเป็นประเด็นอื่นล่ะไม่มีระแคะระคาย พากันเอ่ยปากชื่นชมความสนุกของหนัง ที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เรื่องการเล่าตำนานก็ชวนติดตามไม่แพ้ภาคแรก และที่คนกล่าวขวัญมาที่สุดหนีไม่พ้นปมพ่อลูกที่ Ford และ Connery เล่นได้เข้าขา น่ารักน่าขำตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงขนาดบางคนพูดว่า “แค่ไปเห็นหน้าพ่ออินเดียน่า โจนส์ก็คุ้มแล้ว” ชอบกันขนาดไหนคิดดูครับ (เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนหนังที่รอคอยภาค 4 จะพากันผิดหวังครั้งใหญ่ เมื่อ Connery ขอตัวไม่กลับมาเล่นด้วย)

อินดี้ภาคนี้ก็เปิดเรื่องเล่าย้อนไปปี 1912 สมัยอินเดียนายังเป็นเพียงลูกเสือที่เดินทางไกลไปพบกับการลอบขุดสมบัติอย่างผิดกฎหมายเข้า เลยมีฉากการไล่ล่าอันเป็นการแนะนำให้คนดูรู้ที่มา ว่าเหตุไฉนอินดี้ถึงสนุกกับการเป็นนักผจญภัย, ได้รอยแผลที่คางมาจากไหน และทำไมเขาถึงกลัวงูขึ้นสมอง ฉากย้อนอดีตนี่จะเปิดเผยทั้งหมด

ตามด้วยการตัดมาปี 1938 อินดี้ได้ทราบข่าวว่าพ่อหายตัวไประหว่างการตามรอย “จอกศักดิ์สิทธิ์” หรือ “จอกกาลิส” ในตำนาน The Last Supper ที่ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำจากจอก จะมีชีวิตเป็นอมตะซ้ำยังรักษาโรคภัยได้สารพัด ร่องรอยล่าสุดของจอกคือสมัยสงครามครูเสด ที่ว่ากันว่ามีอัศวินสามพี่น้องได้พบเจอ และปกป้องจอก โดยพี่น้องสองคนแรกได้เดินทางออกมาพร้อมเปิดเผยความลับก่อนจะสิ้นใจว่าจอกนี้มีจริง ในขณะที่อัศวินคนที่สามกลับไม่มีใครพบเห็นอีกเลยมาตราบจนทุกวันนี้ ทำให้เป็นไปได้มากว่าอัศวินคนที่สามและจอกถูกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง และพ่อของอินดี้ก็หลงใหลในตำนานนี้มาก จนลงมือตามหาและหายตัวไป อินดี้เลยต้องตามรอยของพ่อให้พบก่อนอันตรายจะถึงตัว เพราะดูท่าว่างานนี้จะมีคนหลายฝ่ายต้องการใช้อำนาจของจอกเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าจะวอลเตอร์ โดโนแวน ผู้บริจาครายใหญ่ที่ทำท่าเหมือนจะชอบรักษาของเก่า แต่กลับมีลับลมคมในบางอย่าง ตามด้วยพวกกองทัพนาซีที่ฮิตเลอร์เองก็ต้องการนำจอกไปเสริมบารมีเช่นกัน

งานนี้อินดี้เลยต้องรับศึกรอบด้าน ไหนจะนาซี ไหนจะผู้ดีใจคด เหนืออื่นใดคือต้องรับมือกับพ่อที่ยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ ชอบบ่นจนอินเดียน่าอยากโดดหน้าผาตายตั้งหลายรอบ (คนดูฮากันตรึมตามระเบียบ)

ความสำเร็จของหนังก็เนื่องจากความสนุกตื่นเต้นเร้าใจ ผจญภัยแบบนันสต็อปยิ่งกว่าภาคไหนๆ ฉากบู๊กระหน่ำไม่แพ้หนัง 007 เลยครับ บู๊กันทุกที่ไม่ว่าจะทางเรือ ทางอากาศ ทางรถ จะเอารถอะไรล่ะครับ รถมอเตอร์ไซค์ก็มี รถถังก็มา ตีกันกลางปราสาทเก่าก็ยังมี มันส์พี่ Spielberg เขาล่ะครับงานนี้ ดู แล้วภาคนี้กลิ่นอายแบบหนัง 007 มาเต็มๆ กว่าทุกเรื่อง แต่กระนั้นก็ไม่เสียรสชาติหนังผจญภัยต้นตำรับสไตล์อินดี้ คนดูเลยพากันชอบใหญ่ เพราะไม่แพ้ภาคแรก ซ้ำยังขำกว่ากันด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่ลืมไม่ได้คืองานดนตรีระดับมาสเตอร์พีซของ John Williams ที่บรรเลงบทเพลงแห่งจอกได้ไพเราะชวนฟัง แฝงความขลังอภินิหารได้อย่างน่าขนลุก

ไฮไลท์ของหนังหนีไม่พ้นทางเข้าไปสู่ที่ซ่อนจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ลุ้นมากๆ กับดักค่ายกลแม้จะดูไม่ยาก แต่คิดมาดีครับ เล่นเอาคนดูเสียวไส้ไปตั้งหลายรอบแน่ะ ว่าอินดี้จะตายคาที่ตรงกับดักไหน แต่แน่นอนว่าแกรอดครับ… ไม่งั้นภาคสี่ก็เป็นอินดี้ผีลืมหลุมไปแล้วล่ะ

ความเด็ดสะระตี่แบบครบองค์แบบนี้ ทำให้โกยเงินทั่วโลกไปกว่า $474 ล้านเหรียญ สูงสุดเท่าที่หนังชุดนี้เคยทำมา (ไม่นับภาคสี่) ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าอินเดียน่า โจนส์ภาคนี้ไม่ทำให้ผู้ชมต้องผิดหวัง

แน่นอนว่า Spielberg เองก็ไม่ผิดหวัง เพราะได้ทำหนังดังใจทุกอย่าง ได้สร้างเรื่อง สร้างคิวบู๊มันส์ๆ ได้กำกับเจมส์ บอนด์ต้นตำรับในหนังที่มีกลิ่นอาย 007 แทรกอยู่ พร้อมทั้งได้เล่าปมพ่อลูกแบบเต็มที่ ซ้ำยังปลอดปล่อยความเป็นเด็กในตัวเขาผ่านตัวละครอินเดียน่า (เนื่องจาก Spielberg มีปมในวัยเด็กระหว่างเขากับพ่อครับ คำที่อินดี้พูดกับพ่อเลยมีบางส่วนกลั่นกรองมาจากสิ่งที่ Spielberg อยากจะพูดกับพ่อตัวเอง) เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Spielberg จะชอบภาคนี้ที่สุด เล่นครบเครื่องทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานขนาดนี้

สำหรับผมเองนั้นก็ชอบภาคนี้ที่สุดเหมือนกันครับ เพราะมันได้ความมันส์จากภาคแรก แต่ลดดีกรีความน่ากลัวหรือลี้ลับลง ให้เหลือแต่ความสนุกล้วนๆ ซ้ำยังมีการเปิดเผยปมชีวิตอินดี้ตั้งหลายอย่าง ตามด้วยการแสดงระดับสุดยอดของสารพัดดารา และที่สุดแห่งความชอบของผม คือ ประเด็นสาระของจอกกาลิสนั่นแหละ

ปริศนาน่าคิดที่หนังแอบฝากไว้คือ อันที่จริงเรามีโอกาสสัมผัสจอกกาลิสอยู่ทุกวี่วัน ในยามเราต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างก็เหมือนเจอแท่นวางจอก บนแท่นนั้นมีทั้งจอกของจริงอันเป็นสิ่งบริสุทธิ์ มันอาจดูเป็นเพียงจอกธรรมดาไม่มีราคาใดๆ แต่หากเราหยิบขึ้นมาดื่มอานุภาพของมันจะทำให้เราแข็งแรงและมีพลังสืบไป แต่หากเราคว้าเอาจอกเก๊ ที่เปรียบเสมือนทางเลือกลวงไปสู่สิ่งชั่วร้าย รูปลักษณ์จอกปลอมอาจสวยงามชวนดึงดูด เราก็หน้ามืดตามัวหูดำเข้าไปหยิบมันขึ้นมาจิบ จิบแรกอาจไม่ทำให้รู้สึกอะไร แต่เมื่อจิบไปๆ มันก็จะค่อยๆ ทำลายชีวิตทีละน้อย เช่นเดียวกับการทำสิ่งไม่ดีล่ะครับ ทำแรกๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

ผมว่าจอกศักดิ์สิทธิ์ที่เบื้องบนทิ้งไว้ ไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นทางเลือกแห่งการกระทำ พระเจ้ายื่นโอกาสมาให้เราเลือกจอกเสมอ หากเลือกจอกดีก็จะเป็นอมตะในแง่ที่ว่าชื่อเสียงไม่ตายตามสังขาร

ความสำเร็จของภาคนี้ เล่นเอาคนดูเรียกร้องชมภาค 4 แต่ตอนนั้นทั้ง Spielberg และ Lucas ต่างก็เห็นตรงกันว่ายังไม่มีพล็อตที่ดีพอจะมาสานต่อเรื่องราว เลยขอพักไว้ก่อน กะว่าอีกสักปีสองปีค่อยสานเรื่องต่อ… เป็นสองปีที่นานเท่ากับยี่สิบปีเลยครับ