IMDB : tt4781612
คะแนน : 5
จริง ๆ แล้วชาตินิยม (Nationalism) และสงครามเผ่าพันธุ์ (Race Wars) มีมาตั้งแต่บรรพกาลแล้ว เช่น การล่าอาณานิคมของจักรวรรดิโรมัน หรือพวกนาซีในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ถึงแม้ Julius Caesar กับ Adolf Hitler จะลาโลกไปนานแล้วก็ตาม ชื่อเสียงและแนวคิดก็ยังคงหยั่งรากลึกมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทุกวันนี้ Racism อาจเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง แต่ก็รุนแรงไม่ต่างจากสมัยโน้น แถมยังพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง และเชื่อมโยงไปถึงการก่อการร้าย (Terrorism) หรือกลุ่มหัวรุนแรง (Extremism)
แทบทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ทุกคนจะมุ่งไปที่กลุ่มมุสลิมก่อนใคร ทั้งที่บางคนที่ดูเหมือนจะรุนแรงแท้จริงแล้วเขาก็ไม่มีอะไรเลย บ่อยครั้งไปที่ผู้ก่อเหตุจริง ๆ คือคนผิวขาว หรือคนผิวขาวบางคนก็หัวรุนแรงกว่าพวกอิสลามบางคน (อืม ดูแล้วก็อดนึกถึง Donald Trump) ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตเหมือนกันว่า เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดโดยคนผิวขาวมักไม่ค่อยถูกประโคมให้เป็นประเด็นใหญ่เท่าเหตุที่กลุ่มมุสลิมหรือคนผิวสีกระทำ
หนัง Imporium จะนำพาคนดูไปสังเกตการณ์ความคิดและพฤติกรรมของกลุ่ม nationalist และ racist หลายรูปแบบ ทั้งกลุ่มสกินเฮดที่ระรานคนผิวสีไปเรื่อย, กลุ่มใต้ดิน, จนถึงกลุ่มที่มีการศึกษาและพื้นฐานครอบครัวที่ดี ผ่านสายตาของ FBI หนุ่มหน้าใหม่ (Daniel Radcliffe) ซึ่งดูเหมือนไอคิวและสกิลของเขาจะได้รับการยอมรับมากกว่าตอนที่เขาเป็น FBI เสียอีก
ต้องบอกก่อนว่า ถึงแม้ชื่อไทยของหนังเรื่องนี้จะชื่อว่า “สายลับขวางนรก” และพระเอกของเรื่องนี้จะเป็น FBI แต่เขาก็ไม่ได้เป็นขาบู๊เหมือนพระเอกที่เป็น FBI ในเรื่องอื่น ๆ เพราะในเรื่องนี้ Daniel Radcliffe มีฉากแอ็คชั่นแทบเป็นศูนย์
ส่วนใหญ่หนังเน้นบทสนทนา ใช้ไหวพริบหรือ IQ และทักษะการเข้ากับผู้อื่น (ส่วนหนึ่งก็เรียนรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ How to Win Friends & Influence People ของ Dale Carnegie) ในการไปเป็นหนอนของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ดังนั้นความสนุกคือการลุ้นแทนพระเอกว่า จะถูกสงสัยหรือเปล่า จะถูกจับได้หรือเปล่า รวมถึงการใช้ปฏิภาณไหวพริบในการเอาตัวรอดและวาทศิลป์ของเขาที่ฉลาดอย่างน่าทึ่ง
ซีนเปิดเรื่อง มี quote ของ Hitler ขึ้นหราว่า “Words build bridges into unexplored regions.” ซึ่งบางคนอาจจะตกใจที่คำพูดนี้คือคำพูดจากปากของ Hitler หนึ่งในบุคคลอันตรายที่สุดตลอดกาลของโลก แต่ถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์จริง ๆ จะเก๊ตเลยว่า นี่คือประโยคที่โคตร Hitler เลย เพราะสมัยนั้น เขาก็ใช้ speech ของเขานี่แหละ ในการจุดชนวนและต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
ถ้าย้อนไปมองหลาย ๆ เหตุการณ์ในอดีต จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่คำพูดของ Hitler ที่ตอกย้ำวลีที่ว่า The pen is mightier than the sword. (งานเขียนและคำพูดมีพลังกว่าการใช้กำลังและความรุนแรง) เท่านั้น ยังมีงานเขียนอีกมากมายที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติ หรือสงครามต่าง ๆ เช่น งานเขียนของ Rousseau ที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution)
เมื่อตัวหนังสือและคำพูดมีพลังในการครอบงำ เปลี่ยนแปลง และชี้นำความคิดหรือพฤติกรรมคนอ่านได้เหนือกาลเวลา จะเห็นได้ว่า พวก White Nationalists ในหนัง Imporium นี้นั้น กลุ่มที่มีการศึกษา อ่านหนังสือเยอะ เช่น วิศวกร หรือเภสัชกร จะหัวรุนแรงและจริงจังกว่ากลุ่มอื่น ๆ ทั้งนี้ยังไม่นับคนจัดรายการวิทยุที่พูดป้อนข้อมูลปลุกระดมและปั่นสมองคนฟังนั่นทุกวัน ๆ อีกทอดหนึ่ง
ปกติเราก็ไม่ค่อยโอเคกับพวกชาตินิยมหรือเหยียดชาติพันธุ์หรอกนะ แต่ระหว่างที่นั่งดู Imporium อยู่ในโรง เราได้เห็นประเด็นนี้มากกว่าด้านเดียว หนังได้สะกิดให้เรานึกถึงอารยธรรมที่จักรวรรดิโรมันนำไปเผยแพร่ในอาณาจักรต่าง ๆ ที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน เทียบกับบางประเทศในแถบแอฟริกาที่อารยธรรมยังเข้าไม่ถึง อย่างประเทศเคนย่า ซึ่งทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เราได้ถูกโน้มน้าวให้เข้าใจ คิดตาม และแอบเห็นด้วยกับความจริงบางประการของคนกลุ่มนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
โดยสรุป Imporium เป็นหนังสายลับแบบไม่บู๊ แต่ได้ลุ้นเอาใจช่วยพระเอกให้ไม่ถูกจับได้ เนื้อหาอาจไม่เหมาะกับคนทุกคน เพราะเกี่ยวกับระบอบ การเมือง และแนวคิดของคนต่างกลุ่ม โดยเฉพาะ racism และ nationalism รวมถึง Nazi แต่เล่าเรื่องมีชั้นเชิง ที่สำคัญ การแสดงของ Daniel Radcliffe มาไกล… ไกลจนลืมไปเลยว่า เขาเคยเป็น The Boy Who Lived