ค้นหาหนัง

Goldfinger | จอมมฤตยู 007 [James Bond: Sean Connery]

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น
Goldfinger | จอมมฤตยู 007 [James Bond: Sean Connery]
เรื่องย่อ : Goldfinger | จอมมฤตยู 007 [James Bond: Sean Connery]

ออริก โกลด์ฟิงเกอร์ (Gert Fröbe) มหาเศรษฐีผู้คลั่งไคล้ในทองคำ และลูกน้องของเขากำลังวางแผนที่จะโจมตี Fort Knox แหล่งเก็บทองคำของสหรัฐอเมริกาและเป็นแหล่งเก็บทองที่ใหญ๋ที่สุดในโลก แผนนี้มีชื่อรหัสว่า 'ปฏิบัติการแกรนด์สแลม' จุดประสงค์ของแผนการนี้คือการสร้างความปั่นป่วนและทำลายระบบเศรษฐกิจของโลก เพื่อที่จะทำให้ทองที่อยู่ในการครอบครองของเขามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น MI6 จึงส่ง เจมส์ บอนด์ (Sean Connery) สายลับรหัส 007 ให้มายับยั้งแผนการร้ายของโกลด์ฟิงเกอร์ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายเลย เมื่อโกลด์ฟิงเกอร์มีมือขวาสุดโหดอย่างอ๊อดจ๊อบ (Harold Sakata) ผู้เป็นดั่งมือเท้า ที่พร้อมจะจัดการบอนด์ให้ย่อยยับ

IMDB : tt0058150

คะแนน : 8



หลังประสบความสำเร็จกับ Dr. No (1962) และ From Russia with Love (1963) มีหรือที่ United Artist จะไม่สานต่อความสำเร็จ ซึ่งก็ได้เพิ่มทุนสร้างให้อีกเป็น $3 ล้านเหรียญ (เท่ากับทุนสร้าง Dr. No และ From Russia with Love รวมกัน)

Goldfinger สร้างขึ้นโดยมองตลาด hollywood เป็นหลัก เพราะนิยายของ Ian Fleming ยังไม่เป็นที่รู้จักในอเมริกาเท่าไหร่, ชาวอเมริกาเพิ่งจะมารู้จักนิยาย James Bond จากตอนที่ ปธน. John F. Kennedy ยก From Russia with Love เป็นหนึ่งในสิบนิยายเรื่องโปรดเมื่อปีก่อนนี้เอง, เรื่องราวของ Goldfiner จึงดำเนินเรื่องในอเมริกาเป็นหลัก ทั้ง Miami, Florida และ Fort Knox, Kentucky และมีตัวละคร Felix Leiter เจ้าหน้าที่ CIA ชาวอเมริกัน ที่เคยปรากฎตัวภาค Dr. No แต่หายไปใน From Russia with Love กลับมาร่วมแสดงด้วย

Terence Young ผู้กำกับสองภาคแรก ตัดสินใจพักการทำหนัง James Bond แล้วไปกำกับหนังเรื่อง The Amorous Adventures of Moll Flanders (1965) ทำให้โปรดิวเซอร์ Broccoli และ Saltzman หันไปติดต่อ Guy Hamilton ที่เคยยื่นข้อเสนอให้ตั้งแต่ Dr. No แต่ตอนนั้น Hamilton ติดงานอื่นอยู่, ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Hamilton รู้จักกับ Fleming เป็นการส่วนตัว (ว่ากันว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองลับเหมือนกัน) ซึ่งเขาสามารถเข้าใจมุมมอง แนวคิด แรงบันดาลใจของ Fleming เป็นอย่างดี, ความตั้งใจในการทำหนังเรื่องนี้คือ ต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ James Bond ให้ดูเป็นคนธรรมดามากขึ้น ลดความเหนือมนุษย์ลง

นิยาย Goldfinger เป็นลำดับที่ 7 ของ Ian Fleming ตีพิมพ์เมื่อ 23 มีนาคมปี 1959 ชื่อเดิมของหนังสือคือ The Richest Man in the World, สายลับ James Bond แอบปลอมตัวเข้าไปสืบการลักลอบขนทอง (smuggling) ของ Auric Goldfinger ผู้ซึ่ง MI6 สงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับ SMERSH (ในหนังไม่มีพูดจุดนี้) ซึ่งต่อมา Bond ได้ล่วงรู้ถึงแผนการโจรกรรมครั้งใหญ่ของ Goldfinger ที่ต้องการขโมยทองสำรองของอเมริกาที่ Fort Knox เขาจะสามารถหยุดยั้งแผนการครั้งนี้ได้หรือไม่!

ในนิยายมี plot hole ขนาดใหญ่อยู่จุดหนึ่ง คือการขโมยทองที่ Fort Knox ซึ่งในหนังมีการอธิบายด้วยว่า การขโมยทอง 10,500 ตัน ถ้าให้คน 60 คนขนย้ายทองใส่รถบรรทุก 200 คัน ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12 วัน แต่ในนิยายอ้างว่าทำสำเร็จใน 2 ชั่วโมง นี่เป็นช่องโหว่ของพล็อต ที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย, Richard Maibaum ผู้ดัดแปลงนิยาย James Bond มาแล้ว 2 ภาคและกลับมาเป็นครั้งที่ 3 เล็งเห็นปัญหานี้ จึงได้เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่อง จากการขนย้ายขโมยทอง เป็นทำให้ทองเจือปนด้วยกัมมันตรังสี นำไปใช้ไม่ได้แทน

Sean Connery กับการรับบท James Bond ครั้งที่ 3, คราวนี้คืนสู่สามัญ กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มักทำอะไรผิดพลาดอยู่เสมอ และต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉียดตายต่างๆ ซึ่งความซวยพวกนี้ล้วนเกิดจากความเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ และคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างได้, ผมละสงสาร Bond Girl ที่ต้องเสียชีวิตเพราะความเย่อหยิ่งจองหองของ James Bond ภาคนี้เป็นที่สุดเลย

ของเล่นในภาคนี้ มีแต่รถ Aston Martin DB5s (ที่ได้กลายรถประจำตัวของ James Bond ไปโดยปริยาย) ซึ่งว่าไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ เอามาเล่นโชว์เท่ห์ๆ และสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยให้ Bond เอาตัวรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายไปได้เลย

ตัวร้าย Auric Goldfinger รับบทโดย Gert Fröbe ชาว German (บทนี้เคยถูกยื่นข้อเสนอให้ Orson Welles แต่ค่าตัวดันสูงไปหน่อย) เนื่องจากสำเนียงพูดของ Fröbe ไม่เหมือนอเมริกันเท่าไหร่ ทีมงานจึงตัดสินใจใช้การพากย์เสียงทับโดย Michael Collins, รูปลักษณ์ของ Goldfinger ตัวใหญ่ล่ำซำ มั่งคั่ง ร่ำรวย ถือว่าหน้าตา บุคคลิกของ Fröbe นั้นเหมือนมาก (จินตนาการถึง Orson Welles แบบ Touch of Evil ก็ได้เหมือนกัน) นิสัยเป็นคนเย่อหยิ่งยโสโอหัง ก้าวร้าว เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว หลงใหลในสีทอง (ผู้หญิงของ Goldfinger ก็ผมบลอนด์ทุกคน)

มีฉากหนึ่งที่ Goldfinger อธิบายปฏิบัติการ Grand Slam ในห้องที่มีการทำกลไก presentation แบบ mechanic อลังการเว่อ พอเขาออกจากห้องไป คนทั้งหลายที่มาฟังก็ถูกรมแก๊สพิษม่องเท้งไปทั้งหมด… แล้วที่อธิบายแผนการมา เพื่ออะไรกัน!, Roger Ebert ช่วยแถให้ว่า นี่คงเป็นนิสัยขี้โม้โอ้อวดของ Goldfinger ที่ลงทุนจ้างลูกมือให้ทำกลไกเท่ห์ๆ แล้วมาอวดโชว์ความเจ๋งให้ผู้อื่นฟังก็เท่านั้นแหละ ไม่ได้มีความตั้งใจให้คนพวกนี้ร่วมปฏิบัติการในแผนตนแม้แต่น้อย

นิสัย James Bond ภาคนี้กับ Goldfinger ถือว่าสะท้อนซึ่งกันและกัน มีความเย่อหยิ่งจองหอง ยโสโอหัง เชื่อมั่นในตนเองสูงเหมือนกันเปี๊ยบ!, ในนิยาย การพบกันของทั้ง 2 มีทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่ง Fleming ได้แบ่งออกเป็น 3 part ในหนังสือ ดังคำพูดที่ว่า

Mr Bond, they have a saying in Chicago: “Once is happenstance. Twice is coincidence. The third time it’s enemy action.” Miami, Sandwich and now Geneva. I propose to wring the truth out of you. (Auric Goldfinger)

Goldfinger ถือเป็นตัวร้ายที่มีเสน่ห์มากๆตัวหนึ่งในแฟนไชร์ ที่ถึงขนาดยกขึ้นเป็นชื่อนิยาย แสดงถึงต้องมีความพิเศษมากๆ, AFI’s 100 Years…100 Heroes & Villains จัดอันดับพระเอก/ตัวร้ายยอดนิยม ยกให้ Auric Goldfinger ติดอันดับ 49 ตัวร้ายผู้โหดเหี้ยม เอาชนะ Ernst Stavro Blofeld, Dr. No, Max Zorin และ Emilio Largo ทั้งหมดเป็นตัวร้ายที่ได้รับความนิยมสูงมากใน James Bond