ค้นหาหนัง

Fractured | แตกหัก

Fractured | แตกหัก
เรื่องย่อ : Fractured | แตกหัก

ในระหว่างการขับรถเพื่อข้ามประเทศ เรย์กับภรรยาและลูกสาวได้หยุดพักผ่อนที่บริเวณจุดพักรถบนทางหลวง ซึ่งที่นั่นเองได้เกิดอุบัติเหตุลูกสาวของเขาล้มลงและทำให้แขนหัก เขารีบพาลูกสาวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบและปะทะคารมกับพยาบาลหน้าเคาท์เตอร์ แต่ก็สามารถพาเธอไปพบหมอได้ ในระหว่างที่ภรรยาและลูกสาวไปตรวจ MRI บริเวณชั้นล่าง เขาก็หน้ามืดและเป็นลมล้มไปในล็อบบี้ และเมื่อตื่นขึ้นเขาพบว่าไม่มีประวัติว่าลูกสาวเขาเข้ามารักษาที่นี่แม้แต่ภรรยาของเขาก็ไม่มีวี่แววว่าเคยมาที่นี่ เขาจะทำอย่างไร มาร่วมลุ้นระทึกไปด้วยกัน

IMDB : tt4332232

คะแนน : 7



พล็อตลูกหายแบบนี้ไม่ได้ใหม่ ก่อนนี้ก็มีเรื่อง Flightplan (แม่ตามหาลูกหายบนเครื่องบิน) ทำมาก่อนแล้ว ซึ่งในเรื่องนั้นก็เล่นประเด็นว่าไม่มีใครเห็นเด็ก และแม่อาจจะหลอนไปเอง มาในเรื่องนี้ก็เหมือนย้อนรอยเอาเรื่อง Flightplan มาทำใหม่เป็นเหตุการณ์ในโรงพยาบาล หนังแทบทั้งเรื่องวนเวียนกับฉากโต้เถียงของพระเอกกับคนอื่นๆ ว่าตัวเขาไม่ได้หลอนไปเพราะสมองถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุเดียวกันกับลูก (ตกจากที่สูง) แต่เป็นทุกคนในโรงพยาบาลพยายามปกปิดอะไรบางอย่างไว้

หนังเล่นกับจิตวิทยากับคนดูให้สับสนวกวน เชื่อหรือไม่กับสิ่งที่หนังนำเสนอผ่านมุมมองของพระเอก เหมือนคุณคิดว่าตัวเองปกติไม่ได้บ้า แต่มีคนอีกนับสิบมารุมชี้ว่าคุณบ้า เรย์พระเอกในเรื่องที่จิตใจแตกสลายจากเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง ก็ย่อมต้องสับสนไม่มั่นใจว่าตัวเองถูกหรือผิด ซึ่งคนดูก็หนีไม่พ้นความไม่แน่ใจนี้เช่นกันว่าจะเชื่อในสิ่งที่เรย์ถ่ายทอดให้เราเห็น หรือเชื่อในสิ่งที่ตัวละครอื่นๆ เปิดหลักฐานชี้ให้เรย์ (และคนดู) เห็นว่าเขามโนทุกอย่างไปเอง ซึ่งหนังเผยให้เห็นพระเอกในมุมไม่ปกติอย่างจงใจ และก็กลับมาเป็นมุมปกติแบบเหมือนคนเป็นไบโพลาร์เล็กๆ ตลอดเวลา หนังมีอารมณ์ระทึกขวัญเบาๆ ตลอดเรื่อง สลับกับความมึนงงแบบที่ผู้กำกับตั้งใจหลอกล่อคนดูให้เขวอย่างจงใจเกินไปหน่อย

พระเอก Sam Worthington รับบทนี้ได้ดี เป็นหนังที่ใช้ตัวละครหลักตัวเดียวแบกทั้งเรื่อง ซึ่งถ้าไม่ใช้ดาราระดับบล็อกบัสเตอร์นี้มาเล่น หนังเรื่องนี้ก็คงธรรมดามากๆ จนไม่มีความรู้สึกอยากดูอะไรเลยก็ได้ ซึ่งการตลาดแบบนี้ก็ได้ผลเพราะหนังดูน่าสนใจขึ้นมาเป็นกอง แม้พล็อตจะพื้นๆ แบบที่เคยมีมาก่อน และ Sam ก็ตีบทนี้ได้แตก เพียงแต่ว่าตัวหนังธรรมดามากๆ จนไม่มีอะไรให้น่าจดจำจากบทนี้สักเท่าไหร่ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาตั้งแต่ตอนเริ่มไตเติลของเรื่องแล้ว หนังดูจะตั้งใจเผยคำตอบให้กับคนดูก่อนที่หนังจะเฉลยอะไรๆ ต่อมา แม้ว่าอาจจะเป็นการเล่นกับจิตวิทยาซ้อนมายังคนดูอีกชั้นก็ตาม แต่สุดท้ายพอหนังไม่มีของจริงหรืออะไรให้คนดูรู้สึกว้าวกับความแปลกใหม่ได้ หนังก็เลยกลายเป็นธรรมดาจนถึงขั้นจืดจางไปในทันทีที่ดูจบ (แต่สำหรับคนที่ดูแบบไม่ได้คิดตามอะไรมากก็อาจจะว้าวกับบทเฉลยของเรื่องได้อยู่)