IMDB : tt0923811
คะแนน : 9
คุณเคยนึกสงสัยหรือไม่ว่า แค่เพียง "ความโดดเดี่ยว" เล็กๆ...สามารถมีผลกระทบเช่นไร ต่อสิ่งใหญ่ที่กำลังจะตามมาภายหลัง?
เมื่อถึงวันที่มนุษยชาติ ได้พัฒนามาจนถึงจุดสูงสุด...และกำลังพบกับทางตันแห่งวิวัฒนาการ
เมื่อผู้คน ต่างเริ่มสร้างกรอบ กั้นแบ่งความสัมพันธ์...ทั้งที่ยังโหยหาความอบอุ่น
เมื่อเส้นที่คั่นกลาง ระหว่างความเป็นตัวเรา กับตัวเขา กำลังจะถูกฉีกกระชากให้พินาศลง
และเมื่อสิทธิ์ในการตอบทุกคำถาม...กลับส่งมอบให้กับเด็กเพียงคนเดียว
...เด็กน้อยที่จิตใจไม่มั่นคง แหลกเหลว และกำลังจะพังทลาย...
สำหรับภาพยนตร์3ภาคแรก ได้แก่ Evangelion: 1.0 You Are (Not) Alone , Evangelion: 2.0 You Can (Not) Advance และ Evangelion: 3.0 You Can (Not) Redo ได้ฉายโรงญี่ปุ่น และลงแผ่นในบ้านเราไปแล้ว เมื่อปี 2007, 2009 และ 2012 ตามลำดับ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยมีการประกาศชื่อภาคที่สี่ออกมาในชื่อว่า Evangelion: 3.0+1.0 หรือ Shin Evangelion Gekijouban :||
ใครที่เคยดูอีวานหนังโรง ภาคทีวี , Death & Rebirth , หนังโรงไตรภาคก่อนหน้า จะรู้สึกได้เลยว่า ตัวละคร ชินจิ กว่าจะเป็นผู้เป็นคนได้ ใช้เวลานานมาก แต่นั่นก็ทำให้เราเห็นว่า ตัวละครนี้ ผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ และเขาก็ควรจะโตได้แล้วจริงๆ พร้อมบทสรุปที่ “อิ่มเอมหัวใจ” และไม่ได้เล่นใหญ่เว่อวัง ประมาณว่า “ทำน้อย ได้มาก” ประมาณนั้น
และรู้สึกว่า “ถึงเวลาที่นายควรใช้ชีวิตที่นายอยากได้ซักทีนะ ชินจิคุง”
ส่วนตัวละครอื่นๆ เฉลี่ยบทที่ดี (มีเซอร์ไพร้ซ์แฟนๆอนิเมทีวีด้วย ว้าวมาก) และเปลี่ยนทัศนคติต่อตัวละครบางตัวที่ในภาคก่อนๆเราอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่ในภาคนี้เรากลับได้เห็นอีกด้านหนึ่ง ทั้ง เรย์(ตัวที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้) อาสึกะ สาวแว่น หรือแม้แต่ “เก็นโด” พ่อชินจิก็ตาม
คุณภาพผลงาน เราไม่ห่วงเลย ภาพสวยงามสะใจจัดเต็ม ทั้ง CG 2D และการใช้เพลงประกอบ ให้จ่ายตังค์ตีตั๋วไปดูในโรงยังได้ งานเนี้ยบ แอคชั่นดุเดือดที่สุด บ้าพลังที่สุด ยังกะ “กุเร็นลากันน์” เลย ยานแม่บู๊มันส์ระดับสงครามเรือรบอวกาศ
แต่หลังๆก็เริ่มออกแนวขี้เกียจเหมือนกันแหละ ดูออก 555 แต่เข้าใจได้ ฟิลดูอีวา มันไม่เนี้ยบแบบ100%หรอก มันจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผลงาน “ไม่เต็มร้อย” แต่ “เต็มอารมณ์ร่วม” องค์ประกอบศิลป์ การใช้ทฤษฎีสี การแบ่งสัดส่วนภาพ มีนัยยะหลายๆอย่าง ใครที่เรียนถ่ายภาพน่าจะชอบแคปรูปจากเรื่องนี้ (ถ้าแคปได้อะนะ)
เพลงประกอบไม่ผิดหวัง ตามสไตล์อีวา เล่นใหญ่ อลัง ขนลุก OST ที่ควรหามาฟังหลายเพลง และเพลงจบตบปิดท้ายด้วย One Last Kiss ของ อูทาดะ ฮิคารุ คือเข้ากับเนื้อหาของเรื่องจริงๆ
เป็นการ “ตบหัว แล้วลูบหลังแบบอันโนะ” ทีแท้ทรูมากๆ