ค้นหาหนัง

Eternal Sunshine of the Spotless Mind

Eternal Sunshine of the Spotless Mind
เรื่องย่อ : Eternal Sunshine of the Spotless Mind

โจเอล และคลีเมนไทน์ คู่รักที่ความสัมพันธ์ไปกันไม่รอดจึงจบลงด้วยการเลิกลา โดย คลีเมนไทน์ ได้ตัดสินใจไปลบความทรงจำเกี่ยวกับโจเอลในชีวิตหลังจากที่ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างหนัก ด้วยความโกรธเคืองและน้อยใจเขาจึงตัดสินใจด้วยความหุนหันพลันแล่น และต้องการไปลบเธอออกจากความทรงจำเขาเหมือนกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าในอนาคตพวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีกโดยที่ไม่มีความทรงจำของกันและกันแล้ว

IMDB : tt0338013

คะแนน : 10



สำหรับ Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะว่าเป็นหนังที่ดูยากมันก็ใช่ แต่จะว่าดูง่ายก็ไม่เชิง เพราะด้วยความที่หนังไมไ่ด้เล่าเรื่องตามลำดับเวลา อีกทั้งยังมีการตัดฉากไปมาอยู่เสมอ มันจึงเรียกร้องความสนใจจากคนดูอยู่ไม่น้อย ในการที่ต้องโฟกัสกับสิ่งที่หนังเสนอมา เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวในหัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เป็นเลยกลายเป็นอีกหนังที่ค่อนข้างโดนใจเด็กแนว ที่ชอบโมเมนท์ของความสัมพันธ์ของตัวละครที่ทั้งรักทั้งพังที่หนังถ่ายทอดออกมา ซึ่งส่วนตัวคิดว่าจะให้หาหนังที่เหมือนกับเรื่องนี้คงยาก แต่คิดว่าถ้าใครนึกถึงซีรี่ส์อย่าง Black Mirror ที่มาเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ ความรักและการเลิกราแทน เรื่องนี้ก็เข้าโทนนั้นอยู่


หนังแนวแปลกทีไ่ม่ค่อยได้เห็นนักกับการเอาพล็อตรักโรแมนติคมาผสมกับความไซไฟว่าด้วยเทคโนโลยีที่ลบความทรงจำ ที่ถ้าจะมีใครบอกว่ามันคือ Black Mirror (ซี่รี่ส์ด้านมืดของเทคโนโลยีของ Netflix) ในฉบับโรแมนติคก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก ซึ่งในพาร์ทความสัมพันธ์ของตัวละครก็ทำออกมาได้ดีมากๆ กับการได้เห็นชีวิตคู่ที่ค่อยๆ แตกสลายจากการไม่เข้าใจกัน การไม่ปรับตัวในความสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้ ซึ่งต้องขอบคุณการแสดงดีๆ ของ Jim Carrey ที่ลบภาพความตลกมาสู่ชายผู้จมทุกข์กับความรักได้อย่างน่าเห็นใจ รวมถึง Kate Winslet เอง ก็เป็นตัวการันตีในเรื่องการแสดงคุณภาพอยู่แล้ว ที่ไม่ว่าจะออกมาในลุคใดก็เอาอยู่ทั้งหมด

หนังจากบทของ Charlie Kaufman ในเรื่องนี้ เพียงแค่เห็นชื่อ ก็พอจะเดาได้กลายๆ ว่าเขาจะต้องมาในท่ายากไม่ต่างจากผลงานอื่นๆ ที่ผ่านมาของเขา ทำให้คนดูอย่างเราๆ จะต้องนั่งสังเกตรายละเอียดต่างๆ ในหนังที่จะเป็นตัวบอกว่า นี่คือความสัมพันธ์ในช่วงใดของตัวละคร เพราะหนังไมไ่ด้เล่าตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้น เลยต้องสังเกตกันเอาเอง ซึ่งนี่แหละก็เป็นอีกเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เราไปค่อยๆ กระเทาะเปลือกของความสัมพันธ์ตัวละครในช่วงเวลาต่างๆ ที่โยงใย ถักทอดผ่านการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี และเข้าใจในเหตุผลของการกระทำของพวกเขาได้มากขึ้น

ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดเล็กๆ ของพล็อตการลบความทรงจำ มันนำไปสู่การต่อยอดเป็นหนังรักชั้นเยี่ยมได้ดีขนาดนี้ จนไม่แปลกใจที่มงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมถึงมาลงในหนังเรื่องนี้ เพราะหนังสะท้อนแง่มมุมของความทรงจำได้เป็นอย่างดี และยังชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีบางอย่างก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยเรื่องความสัมพันธ์ได้ เท่ากับจิตใจของมนุษย์สองคนเอง เพราะการที่ตัวละครอย่างโจเอล และคลีเมนไทน์นั้น ต่างลบความจำเพื่อมาเริ่มความสัมพันธ์กันใหม่อยู่เสมอ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลย และคงดีเสียกว่าหากพวกเขาเลือกที่จะจดจำข้อดีข้อเสียของตัวเองเอาไว้ และนำไปปรับปรุงให้ความสัมพันธ์พวกเขาดีขึ้น แทนที่จะแก้ปัญหาแบบนี้