IMDB : tt9844522
คะแนน : 7
ภาคต่อหลังจากที่ ซูอี้ รอดชีวิตจากเกมห้องปริศนาแล้วค้นพบว่ามี องค์กรมินอส อยู่เบื้องหลังเกมทั้งหมด ทำให้เธอตามสืบด้วยตนเองเพื่อตีแผ่ความจริง ทว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือเธอยังคงอยู่ในกำมือและเกมอำมหิตของมินอสมาเสมอ เมื่อต้องกลับมาเล่นเกมโดยแข่งกับผู้ชนะจากเกมรอบอื่น ๆ ครั้งนี้จึงน่าลุ้นว่าเธอจะพบความจริงก่อนหรือสูญเสียสิ่งสำคัญไปก่อนกันแน่
‘Escape Room’ (2019) จัดเป็นหนังม้ามืดที่ได้รับความนิยมเกินคาดหมาย เพราะสามารถทำเงินไปได้กว่า 150 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 9 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง ซึ่งน่าจะโดนใจกลุ่มคนที่ชอบหนังเกมเอาชีวิตรอดแบบใช้ไหวพริบปฏิภาณและบางครั้งก็อาศัยดวงเข้าช่วยโดยมีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน ซึ่งก็ใช้รูปแบบเกมปริศนาหาทางออกจากห้องชื่อที่เป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยแฟลชเกมบนเว็บจนมาถึงเกมบนมือถือ และหลายคนน่าจะเคยเล่นอย่าง ‘White Room’ หรือ ‘The Room’ เป็นต้น แต่เพิ่มความตื่นเต้นด้วยความโหดของเกมที่เอาถึงตายแบบสยดสยอง และใช้ปมในอดีตของแต่ละผู้เล่นมาสร้างสรรค์เกมจนได้กลิ่นอายน้อง ๆ แฟรนไชส์หนังโหดอย่าง ‘Saw’ อยู่ไม่น้อย เรียกว่าแค่แนวคิดตั้งต้นของหนังก็น่าสนใจน่าดูแล้ว
ในภาค 2 นี้ยังคงเป็นการกลับมาสานต่อของผู้กำกับ อดัม โรบิเทล (Adam Robitel) ที่มีแฟนติดตามพอสมควรตั้งแต่ทำหนังสยองอย่าง ‘The Taking of Deborah Logan’ (2014) และ ‘Insidious: The Last Key’ (2018) จนพอมาทำหนังแนวเอาชีวิตรอดปริศนาอย่าง ‘Escape Room’ ก็เหมือนว่าโรบิเทลเจอจุดลงตัวในหนังตัวเอง และด้วยจังหวะเวลาที่ออกฉายก็เหมาะเจาะเพราะตลาดกำลังขาดหนังแนวนี้ที่เว้นช่วงหายไปมานานพอควร ทำให้ตัวหนังกลายเป็นม้ามืดอย่างที่ได้กล่าวมา และทิ้งลายว่าจะมีภาคต่อไว้รอกันเลยทีเดียว
ความยากของหนังภาคต่อ โดยเฉพาะในแนวเกมเอาชีวิตรอดนี้ก็คือการขยับขยายจักรวาลของตัวหนังเองให้กว้างขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้เปิดผู้บงการของเกมตั้งแต่แรกเลยทีเดียว โดยทิ้งคำถามให้คนค้นหาต่อไปว่าเขา หรือพวกเขาสร้างเกมพวกนี้ไปทำไมกัน แถมยังสร้างบุคลิกของบ้านหรูที่มีความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกอันผิดเพี้ยน ให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยตัวละครเหยื่อซึ่งเป็นลูกสาวของบ้านอย่าง แคลร์ (รับบทโดย อิซาเบล เฟอร์แมน (Isabelle Fuhrman) จาก ‘Orphan’) ที่ต้องเอาตัวรอดจากพ่อผู้ชั่วร้าย แบบเล่าสถานการณ์เดินควบคู่ไปกับทางฝั่งตัวเอกที่กำลังเล่นเกมด้วยนั่นเอง ทำให้การเล่าเรื่องแปลกตาจากภาคแรกเป็รสชาติใหม่และคาดเดาทางได้ยากขึ้นด้วย
มันจะไม่ใช่เพียงแค่ตัวเอกเอาชนะเกมใหม่สำเร็จ ได้ไปพบผู้บงการ ได้รู้เหตุผลเบื้องหลัง นำมาสู่การแก้แค้นแล้วจบไปอย่างเรื่องอื่น ๆ แล้วก็ไม่รู้จะรอภาคต่อไปอีกทำไม
แต่อย่างไรเสียต้องยอมรับว่าจุดแข็งของหนังที่คนคาดหวังจะมาชมก็ยังเป็นฝั่งของตัวเอกอย่าง ซูอี้ (รับบทโดย เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (Taylor Russell) จากซีรีส์ ‘Lost in Space’) ที่ยังกลับมาร่วมมือกับผู้รอดชีวิตอีกคนอย่าง เบน (รับบทโดย โลแกน มิลเลอร์ (Logan Miller) จากซีรีส์ ‘The Walking Dead’) เพื่อเปิดโปงองค์กรมินอส แต่ดันโดนกับดักลวงให้กลับมาเล่นเกมอีกครั้งจนได้ และเพื่อเพิ่มความเขี้ยวของเกมให้เข้มข้นขึ้น นอกจากการฆ่าผู้เล่นที่พลาดท่าแพ้ในแต่ละห้องที่ดูโหดขึ้นแล้ว ยังเป็นเกมรวมผู้ชนะจากเกมรอบอื่น ๆ มาเจอกันเองเสียอีก ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วยว่านางเอกของเราจะเอาตัวรอดได้สำเร็จอีกหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับหนังภาคแรกเสน่ห์ของตัวเกมที่เล่น ส่วนตัวรู้สึกว่ามันน่าสนใจน้อยลง อย่างหนึ่งคือปริศนาข้อสงสัยที่คลุมเกมอยู่ว่าผู้บงการคือใครและทำไปเพื่ออะไรมันกระจ่างขึ้นแล้วระดับหนึ่ง และอีกประการคือความสร้างสรรค์ของตัวเกมที่แม้จะมีการเล่นอะไรที่โหดขึ้นอย่างไฟฟ้าหรือน้ำกรด (แต่ก็ยังไม่โหดสะใจเท่า Saw นะ) แต่กติกาการออกแบบเกมกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าเดิมแล้ว บางด่านก็แทบเอาไอเดียเดิมจากภาคแรกมาใช้เลยด้วยเพียงเปลี่ยนจากฉากหิมะเป็นชายหาด เป็นต้น ถ้าจะติงอะไรก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ที่ทำได้ดีแต่ยังไม่พอสำหรับความคาดหวังที่มากขึ้นต่อภาคที่ 2
อย่างไรก็ตามหนังก็มีโจทย์สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือการขยายจักรวาลของหนังให้สามารถไปต่อในภาคถัดไป และต้องทิ้งทุ่นระเบิดได้น่าสนใจพอที่จะประสบความสำเร็จได้ทำภาคที่ 3 ให้เป็นไตรภาค ซึ่งเมื่อดูแล้วส่วนตัวถือว่าเขาทำจุดนี้สำเร็จเพราะมันขยายเรื่องราวได้ชัดเจน เอาตัวละครใหม่มาใช้งานต่อกับตัวเก่าที่ผู้ชมรักแล้วได้ดี ที่สำคัญเขาบิวต์ความรู้สึกอยากรู้เรื่องราวต่อไปของผู้ชมหลังจากดูภาคนี้จบได้ดีมาก ๆ ถ้าวัดจากโจทย์นี้เพียว ๆ ผู้กำกับกับทีมงานทำสำเร็จอย่างงดงามมาก ๆ ครับ หวังว่าจะได้รับชมหนังภาคต่อไปไม่นานเกินรอ