ค้นหาหนัง

Dragon Head คนจริงโลกแตก

Dragon Head คนจริงโลกแตก
เรื่องย่อ : Dragon Head คนจริงโลกแตก

เทรุ , โนบุโอะ และเซโตะ เด็กนักเรียนมัธยม 3 คน ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟชินคันเซนตกรางในอุโมงค์ ระหว่างทางกลับจากทัศนศึกษาต่างจังหวัด พวกเขาฟื้นขึ้นมาท่ามกลางศพเพื่อนๆ และครูก่ายกองระเกะระกะตลอดขบวนรถไฟ เหตุการณ์เลวร้าย ความมืด และความกลัว ทำให้โนบุโอะเสียสติ เอาแต่พร่ำเพ้อถึงจุดจบและแสงสีแดงลึกลับ ซ้ำยังมองเพื่อนเป็นศัตรู เทรุกับเซโตะจึงพยายามหนีให้พ้นโนบุโอะ และหาทางออกไปด้านนอกก่อนที่อุโมงค์จะถล่มลงมา ...เพื่อที่จะได้รู้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแผ่นดินไหวหรืออุบัติเหตุรถไฟตกรางธรรมดา แต่เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ทำให้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

IMDB : tt0384055

คะแนน : 3



แม้ไม่ได้เป็นแฟนมังงะหรือการ์ตูนญี่ปุ่น ชนิดรู้จักและติดตามใกล้ชิด แต่ก็มีโอกาสได้อ่าน Dragon Head ซึ่งทูมอร์โรว์ คอมมิคส์ ได้ลิขสิทธิ์จัดพิมพ์

Dragon Head เป็นผลงานยอดฮิตของ โมชิซูกิ มิเนทาโร่ เปิดตัวครั้งแรกในนิตยสาร วีคลี่ ยัง เดือนกันยายน 1994 กระทั่งสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 1999 พิมพ์รวมเล่มได้ 10 เล่ม โดยว่ากันว่ามียอดขายรวมกว่า 6 ล้านเล่ม แน่นอน...ความสำเร็จขนาดนี้ ไม่มีทางพ้นหูพ้นตานายทุนสร้างหนังชาวญี่ปุ่น ที่มักจะจับมังงะดังๆ มาขึ้นจอใหญ่กันเป็นว่าเล่น

จุดเด่นของ Dragon Head ต้นฉบับมังงะ อยู่ที่สไตล์ภาพดิบๆ ไร้ความงาม ของมิเนทาโร่ที่เหมาะเจาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวขวัญผวาชวนกดดันต่อคนอ่าน เช่นการวาดเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้า ภาพเอ็กซ์ตรีมโคลสอัพใบหน้าและดวงตาแสดงอาการหวาดกลัว ประกอบกับลายเส้นหนักๆ ลงหมึกทึบเข้ม ยิ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกกดดันขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม จุดเด่นเหล่านี้ก็เป็นของแสลงสำหรับใครหลายคน เมื่อต้องพบกับภาพและเรื่องราวที่ดูไม่สุนทรีย์เลยสักนิด…โดยเฉพาะสำหรับแฟนการ์ตูนชาวไทย

แต่หากมองจากฝั่งญี่ปุ่นเอง พิจารณาจากประวัติความเป็นมา และสภาพบ้านเมืองของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ต้องทนทุกข์แสนสาหัสกับมหันตภัยนิวเคลียร์ ความเป็นเกาะภูเขาไฟซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นยักษ์ขึ้นเมื่อไหร่ อีกทั้งต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นหลายสิบลูกในแต่ละปี

Dragon Head จึงเสมือนเป็นเรื่องราวที่ตอบสนองความรู้สึกส่วนลึกของคนญี่ปุ่นซึ่งต้องอยู่กับความระแวงระวังอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกลายเป็นการ์ตูนสุดฮิตระดับปรากฏการณ์ในที่สุด

การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับฯ โจจิ ไอดะ คิดการใหญ่โดยวางสเกลไว้ให้เป็นหนังทุนหนาเน้นโปรดักชั่น งบประมาณกว่า 1.5 พันล้านเยน หรือประมาณ 500 ล้านบาท หมดไปกับเทคนิคพิเศษสร้างกองทัพลูกไฟถล่มเมือง และการเนรมิตโลเกชั่นกว้างใหญ่ในอุซเบกิสถานให้เป็นกรุงโตเกียวในสภาพพินาศย่อยยับเหลือแต่ซากปรักหักพังจมอยู่ใต้ฝุ่นขี้เถ้ามหาศาล

กระนั้น โปรดักชั่นใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจก็ไม่อาจยกระดับหนังทั้งเรื่องได้ เมื่อบทหนังซึ่งดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูน 10 เล่ม ให้เหลือเรื่องราวแค่ 2 ชั่วโมง เป็นแค่เพียงการตัดต่อบางฉากบางตอนพร้อมใส่ปิดหัวปิดท้ายลงไปเท่านั้น จนผู้ชมไม่อาจสัมผัสบรรยากาศและแก่นสารความคิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญจากมังงะต้นฉบับได้เลย

ฉากเปิดเรื่องในอุโมงค์แห่งความตาย ซึ่งต้นฉบับได้ปูทางสร้างอารมณ์ไว้ได้สุดกดดัน โดยใช้บรรยากาศมืดมิดไร้ทางออก กดทับด้วยเงื่อนเวลาแห่งการรอคอย จนรู้สึกได้ถึงความเนิบช้า หน่วงรั้งความรู้สึก ทั้งยังหวาดผวาตัวละครเสียสติซึ่งไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไร...กลับหาไม่ได้-สัมผัสไม่เจอในผลลัพธ์บนแผ่นฟิล์ม

สำหรับผู้ชมที่ไม่ได้อ่านการ์ตูนมาก่อนก็อาจไม่สนุกกับเรื่องราวไร้ที่มาที่ไป ไม่ผูกพันกับตัวละคร พอๆ กับไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะผลของการดัดแปลงบทแบบตัดต่อนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ จากมังงะสุดฮิตจึงกลายเป็นหนังหัวมังกุ ท้ายมังกร ไร้ความกลมกลืน ไม่น่าแปลกใจที่หนังประสบความล้มเหลวเมื่อคราวออกฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2003

ใครที่ติดตามอ่านเรื่องนี้อยู่ ระหว่างที่รอเล่มต่อไปจะลองหาหนังมาดูแก้ขัดก่อนก็ได้

จะได้เห็นว่าการ์ตูนที่วาดหาความงามไม่ได้นั้น เยี่ยมกว่าหนังโปรดักชั่น 500 ล้านตั้งเยอะ!