IMDB : tt0120647
คะแนน : 7
ในปี 1998 มีหนังว่าด้วยดาวหางพุ่งมาชนโลกถึง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ Deep Impact ที่ชูประเด็นดราม่าและเดินเรื่องอิงความสมจริง ส่วนเรื่องที่ 2 คือ Armageddon ที่แอ็กชันมันส์สะใจโม้สะบัดกันไป
Deep Impact นี่ผมก็เอามาเปิดดูซ้ำหลายรอบ ไม่ใช่เพราะชอบนะครับ แต่รู้สึกว่าหนังมันก็ดูเพลินในระดับหนึ่ง
จุดที่นับว่าดีในหนังเรื่องนี้คือดาราครับ ที่แคสมาได้ค่อนข้างเหมาะกับบท อย่าง Morgan Freeman ก็ดูภูมิฐานสมเป็นประธานาธิบดี, Robert Duvall ก็เหมาะอีกเช่นกันกับบทนักบินวัยดึกที่พยายามตามวิถีของนักบินสมัยใหม่ให้ทัน หรือ Vanessa Redgrave และ Maximilian Schell ก็ดูไม่เลวสำหรับบทอดีตสามีภรรยาที่แยกทางกันไปนานมาก
นอกจากนี้ดาราเจ้าอื่นๆ อย่าง Téa Leoni, Elijah Wood และ Leelee Sobieski ก็ถือว่าเนียนไปกับบทได้ดีเหมือนกัน
ถ้าคุณเป็นคอหนังแอ็กชันก็อาจไม่สมใจกับหนังนักนะครับ เพราะหนังมันจะออกแนวชีวิต เน้นนำเสนอที่การตัดสินใจของแต่ละคนว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างไร และเน้นไปที่สัมพันธภาพของแต่ละตัวละครที่มีต่อกัน โดยมีเรื่องดาวหางชนโลกเป็นฉากหลัง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจครับที่ผู้กำกับจะนำเสนอเรื่องแนวดราม่า เพราะ Mimi Leder นั้นแจ้งเกิดได้จากการกำกับซีรี่ส์ ER ครับ ดังนั้นมุมมองเชิงดราม่าจึงเป็นอะไรที่เธอคุ้นเคย
สิ่งที่ผมรู้สึกทั้งตอนดูรอบแรกและตอนดูรอบล่าสุดก็คือ หนังมีองค์ประกอบดีๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะดารา เนื้อหา ดนตรีโดย James Horner และผู้กำกับหญิงเก่งอย่าง Leder แต่กระนั้นหลายอย่างในหนังยังไม่ค่อยสุด ว่าง่ายๆ คือยังดีได้อีก ไม่ว่าจะการจับประเด็นของแต่ละตัวละครมาเล่นแบบให้ถึงแก่น, การแสดงภาพปฏิกิริยาของชาวโลกในช่วงที่คนกำลังตื่นตระหนกว่าโลกจะอวสานลงหรือไม่ หรือความตื่นเต้นชวนลุ้นในปฏิบัติการหยุดดาวหางที่สามารถใส่ความตื่นเต้นลงไปได้อีก อะไรเหล่านี้หากเพิ่ม หนังก็น่าจะมีอะไรเข้มข้นเพิ่มขึ้นอีกเยอะ
แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่สนุกนะครับ หนังยังดูได้เพลินๆ แม้บางช่วงจะอืดไปหน่อยก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือได้ว่า Deep Impact เป็นหนัง “ชีวิต” ที่ว่าด้วยเรื่อง “ดาวหาง” ที่ทำได้น่าพอใจ แต่เราจะโอเคได้ก็ต้องตั้งจิตตั้งใจยอมรับข้อแม้ว่า “อย่าคาดหวังจนเกินไป” ก็แล้วกัน
อย่างไรก็ดี หนังก็ยังมีสาระดีๆ ชวนให้พูดถึงอยู่ครับ ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกตระกูลเลินเนอร์ (Schell และ Leoni) ที่ก่อนหน้าจะเกิดเหตุร้ายก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ คนเป็นลูกไม่ยอมให้อภัยพ่อ ต้องรอจนกระทั่งโลกจะอวสานนั่นเอง ถึงจะตระหนักว่าการโกรธกัน ไม่ให้อภัยกัน และไม่มองหน้ากันนั้นมันเป็นอะไรที่เสียเปล่าแท้ๆ
เพราะวันหนึ่งทั้งสองก็ต้องจากกันครับ ไม่มีใครเป็นอมตะ ต่อให้ดาวหางไม่มาชนก็เถอะ คนพ่อก็อาจจากโลกนี้ไปก่อน หรือลูกก็อาจตายก่อนก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นวันจาก วันที่ไม่ต้องมองหน้ากันนั้นยังไงก็มีอยู่แล้วล่ะ แต่ทว่าก่อนที่จะถึงวันนั้น ทำไมเราจะไม่ถนอมเวลาดีๆ ให้แก่กันสักนิด
สำหรับพ่อลูกตระกูลเลินเนอร์ เพิ่งมาตระหนักความหมายของคำว่า “รักและเข้าใจ” ก็เมื่อตอนที่ดาวหางใกล้แตะพื้นโลกเต็มที
เป็นอะไรที่หนังสอนเราครับ ว่าเราควรทำวันนี้ให้ดี ควรปฏิบัติกับทุกคนให้ดี เพราะเราไม่รู้หรอกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึงเมื่อไร ดังนั้นถ้าเราโกรธใครก็ทำใจลืมซะ เคลียร์ปัญหากันซะ แล้วใช้เวลาหลังจากนั้นไปทำสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะการผูกมิตรสานสัมพันธ์กับคนทั้งโลก เริ่มจากคนใกล้ตัวแล้วก็ทำไปเรื่อยๆ จนเราพร้อมจะมอบความปรารถนาดีให้กับทุกคน หรือทำงาน สร้างผลงานดีๆ เอาไว้ประดับโลก
เห็นคุณค่าของชีวิตตนเอง สร้างคุณค่าให้ชีวิตตนเอง อย่ารอจนวันสุดท้าย
นอกจากนี้ยังมีประเด็น “ความเสียสละ” ที่มีส่วนอย่างมากในการช่วยโลก (ในหนัง) ซึ่งเราก็ยังไม่ต้องถึงขนาดสละชีวิตเพื่อใครหรอกครับ แค่เราสละความเห็นแก่ตัว สละความอิจฉาริษยาพยาบาท สละความเขลาด้วยการเอาปัญญามาใส่ แค่นี้เราก็จะมีพลังในการช่วยโลกได้อย่างมากแล้ว
สรุปว่าหนังดาวหางเรื่องนี้ถือว่าดูได้ครับ เพลินในระดับหนึ่ง มีแง่คิดดีๆ พอประมาณ งาน Effect ถือว่าไม่เลวสำหรับยุคนั้น (อย่าเอามาเทียบกับ 2012 เชียวล่ะ)