IMDB : tt7657566
คะแนน : 4
คราวนี้ ‘ไมเคิล กรีน’ (Michael Green) ผู้รับหน้าที่เขียนบทตั้งแต่ภาคที่แล้ว กลับมาดัดแปลงนวนิยายในจักรวาลปัวโรต์ (A Poirot Story) ของ ‘อกาธา คริสตี’ พาเราย้อนเรื่องราวกลับไปในปี 1937 ในขณะที่ปัวโรต์กำลังพักผ่อนอยู่ที่มหาพีระมิดกีซา (Pyramid of Giza) ประเทศอียิปต์ เขาได้รับคำร้องขอจากคู่รักข้าวใหม่ปลามันอย่าง เศรษฐีนีไฮโซ ‘ลินเน็ต ริดจ์เวย์ ดอยล์’ (Gal Gadot) และนายหน้าค้าที่ ‘ไซมอน ดอยล์’ (Armie Hammer) ให้เดินทางไปที่เมืองอัสวาน (Aswan) เพื่อคอยคุ้มกันทั้งคู่จาก ‘แจ็คเกอลีน เดอ เบลเลฟอร์ต’ (Emma Mackey) อดีตคนรักของไซมอน และ (อดีต) เพื่อนของลินเน็ต ที่ถูกเพ่งเล็งว่า เธออาจจะตามมาก่อเรื่องล้างแค้นทั้งคู่ระหว่างที่กำลังฮันนีมูนบนเรือสำราญล่องแม่น้ำไนล์สุดหรูหราที่มีชื่อว่า ‘คาร์นัก’ (Karnak)
โดยมี ‘ลูอีส บอร์เจต์’ (Rose Leslie) ผู้ดูแลส่วนตัวของลินเน็ต ‘บุค’ (Tom Bateman) คู่หูของปัวโรต์ ‘ยูฟีเมีย’ (Annette Bening) แม่ของบุค ‘โรซาลี ออตเตอร์บอร์น’ (Letitia Wright) คนรักของบุค เพื่อนของลินเน็ต หลานป้า และผู้จัดการของนักร้องเพลงบลูส์ชื่อดัง ‘ซาโลเม ออตเตอร์บอร์น’ (Sophie Okonedo) ‘ลินนัส’ (Russell Brand) หมออดีตคู่รักของลินเน็ต ‘แอนดรูว์’ (Ali Fazal) ลูกพี่ลูกน้องผู้ทำหน้าที่นิติกรดูแลกิจการของลินเน็ต ‘มารี’ (Jennifer Saunders) แม่บุญธรรมของลินเน็ต และ ‘บาวเออร์’ (Dawn French) พยาบาลส่วนตัวของมารี ยกโขยงมาเที่ยวล่องท่องแม่น้ำไนล์ด้วย แต่แล้วฮันนีมูนก็ต้องจบลง เพราะเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น ปัวโรต์และบุคจึงต้องร่วมมือกันสืบหาฆาตกรบนเรือสำราญสุดหรูหราแห่งนี้
ตัวพล็อตเรื่องเองก็ยังคงใช้กลวิธีแบบ ‘whodunnit’ (ใครเป็นคนทำ ? ) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นแนวทางหลัก ๆ ที่ใช้ในนิยาย และยังคงรูปแบบเดียวกับ ‘Murder on the Orient Express’ เป๊ะ ๆ เพียงแค่เปลี่ยนจากรถไฟเป็นเรือสำราญเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจริง ๆ หากเปรียบเทียบกับภาคก่อนหน้าก็คือเรื่องของจังหวะการดำเนินเรื่องครับ เพราะใน ‘Murder on the Orient Express’ ถูกเล่าเป็นเส้นเรื่องเดียว และเดินเข้าสู่เรื่องแบบกระชับฉับไว แต่กลับในเรื่องนี้กลับตรงกันข้าม เพราะตัวเรื่องจะค่อย ๆ เล่าอย่างแช่มช้ากว่ามาก กว่าจะมีคนตายก็ล่อเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว (555) ตัวหนังในองก์แรก และครึ่งแรกขององก์ที่สองจึงเป็นการให้เวลาปูเรื่อง ทั้งเรื่องของปัวโรต์เอง และที่มาการชิงรักหักสวาทของอดีตเพื่อนและอดีตแฟนที่ทั้งหวานชื่นและขื่นขมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะค่อย ๆ สับเกียร์เร่งเครื่องในช่วงครึ่งหลัง หลังจากสิ้นเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น
อีกจุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือ การคลี่คลายไขคดีครับ ทั้งสองภาคนี้ก็ยังคงวางปมให้คนดูได้ไขคดีตามสไตล์นิยายรหัสคดีแบบอกาธา คริสตีไปด้วย แต่สิ่งที่ถือว่าต่างออกไปในหนังภาคนี้ก็คือ การวางปมที่ดูจะง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าภาคก่อน ๆ อยู่มากทีเดียว ทั้งในแง่ของบทที่ในภาคนี้ ดูจะซีเรียสน้อยกว่าภาคที่แล้วอยู่พอสมควร หรือแม้แต่สถานที่ ที่คราวที่แล้วเป็นรถไฟซึ่งมีความเป็นพื้นที่ปิดมากกว่า ก็เลยทำให้ดูมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนและดูลึกลับ เดาใจไม่ได้สักทางและวางใจไม่ได้สักคนเดียว แต่ในขณะที่ในภาคนี้ เส้นเรื่องรหัสคดีที่วางไว้ดูจะซับซ้อนน้อยกว่า รวมทั้งสถานที่บนเรือสำราญที่ประดับตกแต่งด้วยกระจกและพื้นที่เปิดโล่งเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำให้ดูมีความเป็นส่วนรวมมากกว่า
ตัวหนังก็เลยทำให้คนร้ายในภาคนี้อาจจะแอบซ่อนอะไรไม่ได้เยอะ เลยหันไปใช้กลวิธีการซ่อนเงื่อนด้วยวิธีการหันเหความสนใจ รวมทั้งการผูกปมเกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะความรักที่มากเกินควรจนกลายเป็นหมกมุ่น และเรื่องของมิตรภาพที่มาพร้อมกับผลประโยชน์ ซึ่งถือว่าเป็นธีมหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องเลยก็ว่าได้ (ซึ่งขอไม่ลงลึกว่าเป็นแบบไหนนะครับ) รวมถึงการเพิ่มกลิ่นอายความสยองขวัญเข้ามาด้วยเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ภาพรวมที่ได้ในภาคนี้ อาจจะไม่ได้ซับซ้อนลึกลับและพิศวงชวนให้ซีเรียสคิดหนักเหมือนภาคแรก และออกจะเดาง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ควรพลาดบทสนทนาของปัวโรต์และตัวละครอื่น ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดสำคัญนะครับ ของแบบนี้พลาดแล้วพลาดเลย
โดยสรุป ‘Death on the Nile’ หรือ ‘ฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์’ แม้ความเป็น whodunnit จะดูซับซ้อนและปมเบาะแสที่ทิ้งไว้ให้จะดูทำงานน้อย เดาง่ายกว่าภาคที่แล้ว และการเดินเรื่องที่อาจจะไม่ถูกใจคอหนังสายสับตีนแตก แต่ก็พอจะทดแทนได้ด้วยพล็อตที่ยังคงมีความซับซ้อน น่าติดตาม ไดอะล็อกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่พลาดไม่ได้ ทีมนักแสดงที่แม้จะเยอะยุ่บยั่บ แต่ก็โดดเด่น ไม่ซ้อนทับบทบาทและแย่งซีนกันเอง รวมถึงงานด้านภาพที่ยังคงสวยงามไว้ใจได้