IMDB : tt0444182
คะแนน : 8
เมื่อพูดถึงฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่สอง ผมเคยนึกถึงแต่เพียงการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมันภายในสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ขบวนการใต้ดินที่ประสานงานกับกองทัพสัมพันธมิตรตลอดเวลาที่ถูกนาซียึดครอง และกองทัพฝรั่งเศสเสรีที่ตามกองทัพอเมริกันและอังกฤษกลับมากู้บ้านกู้เมือง ที่ผมเคยนึกว่ามีแต่ฝรั่งตาน้ำข้าวชาวฝรั่งเศสล้วนๆ จนกระทั่งเมื่อปี 2550 นี้เอง ที่หนังเรื่อง Days of Glory พึ่งจะมาเปิดหูเปิดตาผมเช่นเดียวกับอีกหลายท่านว่า ในกองทัพฝรั่งเศสเสรีนั้น มีทหารรับจ้างที่เรียกระดมมาจากอาณานิคมในแอฟริกาเหนือด้วย
ภาพยนตร์กล่าวถึงทหารในหน่วยที่บทภาษาไทยเรียกว่า "กองพันอัลจีเรียที่ 7" แต่ข้อมูลที่พอหาได้บอกว่าเป็นหน่วยระดับกรมในสังกัดกองพลอัลจีเรียที่ 3 ตัวละครสำคัญในเรื่อง ได้แก่ สิบโท Abdelkader, Said Otmari, Yassir, Messaoud Souni กับจ่าชาวฝรั่งเศสชื่อ Roger Martinez ในเรื่องยังจะมีทหารผิวหมึกสวมหมวกไหมพรมแดงที่คงมาจากมอรอคโคปรากฏตัวอยู่ด้วยเป็นบางฉาก ภาพยนตร์เปิดฉากขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอัลจีเรีย ปี 1943 (พ.ศ.2486) เมื่อมีการเชื้อเชิญให้ชาวอาหรับเข้าร่วมเป็นทหารรับจ้างในกองทัพฝรั่งเศส หนึ่งในจำนวนนั้นมีซาอิดซึ่งมารดาห้ามไว้แต่ไม่สำเร็จรวมอยู่ด้วย ถัดมาเป็นการฝึกทหารในมอร็อคโคในปีเดียวกันนั้น ที่ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างเรียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ทางกองทัพฝรั่งเศสย้ำนักย้ำหนากับทหารพื้นเมืองเหล่านี้ว่าฝรั่งเศสคือบ้านเกิดที่จะต้องไปปลดปล่อย
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อบรรดาทหารอัลจีเรียถูกส่งไปยังอิตาลี ที่นี่ซาอิดกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งถูกส่งมาอยู่ในบังคับบัญชาของจ่ามาติเนซจอมเฮี้ยบ โดยมีการฝึกในภาคสนามก่อนออกรบจริง เหตุการณ์ปลีกย่อย เช่น อับเดลคาเดอร์โดนดุเรื่องระเบียบภาคสนามที่ไม่ให้แสดงความเคารพกันโจ๋งครึ่ม เพราะเกรงข้าศึกจะสังเกตแล้วรีบเก็บนายทหารเมสสาดได้แสดงฝีมือการยิงปืนจนได้รับมอบหมายให้เป็นพลแม่นปืน (Sniper) ประจำหน่วย ซาอิดถูกจ่ามาติเนซลงโทษอย่างรุนแรงเนื่องจากไม่ระวังขณะแกะระเบิดมือจากหน้าอก แต่ต่อมาก็ยังอุตส่าได้รับเลือกเป็นทหารคนสนิทของจ่าแก ฯลฯ เมื่อฝึกกันได้ที่ ฉากสำคัญที่คอหนังสงครามรอกันก็มาถึง เมื่อทหารอัลจีเรียได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปยึดที่หมายบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ฝ่ายเยอรมันมีทั้งปืนค. และรังปืนกลคอยตั้งรับอย่างเหนียวแน่น ซาอิดซึ่งคราวนี้คงคุ้นกับระเบิดมือแล้วได้สร้างวีรกรรมใช้ระเบิดมือทำลายรังปืนกลแห่งหนึ่งลงได้ กว่าการรบจะยุติ เหล่าทหารอัลจีเรียต้องแลกชีวิตไปหลายนายกว่าจะได้ชัยชนะ นำธงฝรั่งเศสไปปักบนยอดเขาได้สำเร็จ
เสร็จศึกที่อิตาลี เหล่าทหารอัลจีเรียได้เดินทางไปฝรั่งเศสทางเรือ ระหว่างทางเกิดกรณีขัดแย้งเนื่องจากหน่วยสูทกรรมฝรั่งเศสเกิด ไม่ยอมให้มะเขือเทศกับทหารจากอาฟริกาเหนือ ไม่ทราบจะงกไปทำไมเหมือนกัน จ่ามาติเนซต้องไปตามกัปตันเรือมาเจรจาอยู่พักหนึ่ง กว่าเรื่องจะยุติด้วยดี จากนั้นทหารอัลเจียร์ได้ขึ้นบกที่ Provence ในเดือนสิงหาคม 1944 (พ.ศ.2487) เดินเท้ากันอยู่พักหนึ่งก็สามารถเข้าเมืองได้ ทราบภายหลังว่าเมืองนี้คือเมืองมาร์กเซย์ ที่ซึ่งทหารอัลจีเรียได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมือง โดยเฉพาะเมสซาวด์ที่คนดูหนุ่มๆ ทั้งหลายคงอิจฉาที่เขาได้ไปปิ๊งกับสาวงามชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง นามว่า อีรีน (ไม่ใช่นางสาวรีนนะครับ แต่เป็น Irene หรือ "ไอรีน" นั่นแหละครับ ไม่รู้เธอรอดการจีบของหนุ่มๆ ฝรั่งเศส-เยอรมันมาถึงเมสสาดมาได้ยังไง?) ทางด้านอับเดลคาเดอร์เริ่มพยายามร้องขอให้กองทัพเอาใจใส่ให้พลทหารอย่างซาอิดได้มีโอกาสรู้หนังสือบ้าง แต่ไม่ค่อยเป็นผล
ทหารอัลจีเรียได้จากมาร์กเซย์ไปยังสมรภูมิ Valle Du Rhone ในเดือนตุลาคม และ Vosges ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ช่วงนี้เมสสาดเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้รับจดหมายจากอีรีนเลย เนื่องจากทางกองทัพได้เซ็นเซอร์จดหมายที่ทั้งสองฝ่ายเขียนถึงกัน เมื่อกลับเข้ามาประจำการในเมือง (ไม่ทราบเมืองอะไร แต่ไม่ใช่กลับไปมาร์กเซย์) ความไม่เป็นธรรมที่เห็นได้ชัดคือ มีแต่ทหารชาวฝรั่งเศสอย่างจ่ามาติเนซเท่านั้นที่จะได้เลื่อนยศ เวลาพักผ่อนดูมหรสพก็ไปเอาบัลเล่ต์มาแสดง ชาวอาฟริกาเหนือที่ดูไม่เป็นต่างเดินออกมารวมกลุ่มกันข้างนอก โดยมีอับเดลคาเดอร์เป็นหัวโจก จ่ามาติเนซตามออกมาดูเหตุการณ์จนเกิดวิวาทกับอับเดลคาเดอร์ ผลคืออับเดลคาเดอร์ต้องถูกจับขังคุก ตามมาด้วยเมสสาดที่พยายามหนีไปหาหวานใจที่เมืองมาร์กเซย์
อับเดลคาเดอร์ กับเมสสาด ออกจากคุกมาได้เพราะทางกองพันต้องการส่งทหารล่วงหน้าไปยังเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นอัลซาส เพื่อนำกำลังไปเสริมทหารสหรัฐฯ ที่กำลังเสียเปรียบ และให้ยึดที่มั่นไว้จนกว่ากำลังส่วนใหญ่จะไปถึง กองกำลังที่ออกเดินทางไปมีอยู่ราวสิบกว่าคน กับลาบรรทุกสัมภาระสามตัว ระหว่างทางทหารไปสะดุดกับระเบิด ทำให้นายทหารชาวฝรั่งเศสเสียชีวิตไปพร้อมกับทหารอีกหลายคน คงเหลือแต่จ่ามาติเนซที่บาดเจ็บสาหัส กับตัวเอกของเรา 4 นาย คือ อับเดลคาเดอร์ เมสสาด ซาอิด และยาซีร์ อับเดลคาเดอร์ออกคำสั่งฝืนใจเพื่อนๆ ให้ออกเดินทางต่อไปจนถึงที่หมาย โดยพบแต่ชาวบ้านที่เป็นคนชราและผู้หญิง ทั้งหมดได้พักแรมในเมืองเพียงคืนเดียว รุ่งขึ้นก็เจอศึกหนัก เมื่อฝ่ายเยอรมันได้ย่างสามขุมเข้ามาในหมู่บ้าน ทั้ง 4 คนได้พยายามสกัดทหารเยอรมันอย่างสุดความสามารถ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ อับเดลคาเดอร์ต้องสูญเสียเพื่อนทั้งสามรวมทั้งจ่ามาติเนซที่นอนบาดเจ็บอยู่ไปจนหมด ขณะที่ตัวเองกำลังจนมุมอยู่ในซากตึกแห่งหนึ่ง พรรคพวกจากหน่วยเดียวกันก็มาถึงและโจมตีขับไล่ทหารเยอรมันออกไปได้พอดี ฉากตรงนี้น่าเศร้าตรงที่กองทหารที่มาถึงไม่ได้ใส่ใจใยดีอะไรกับอับเดลคาเดอร์เลยสักนิด พอตื๊อจะขอพบกับท่านผู้การมากๆ เข้า นายทหารคนหนึ่งกลับสั่งให้อับเดลคาเดอร์เก็บของไปอยู่กับจ่าคนหนึ่งที่กำลังต้องการนายสิบโทอยู่พอดี ตอนออกจากหมู่บ้านมีเพียงชาวบ้านสองสามคนเท่านั้นที่ออกมาปรบมือให้อับเดลคาเดอร์
เรื่องจบลงที่อัลซาสในอีก 60 ปีต่อมา เมื่อคุณปู่อับเดลคาเดอร์ กลับมาเยี่ยมหลุมศพของจ่ามาติเนซและเพื่อนอีกสามคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ตามด้วยซับไตเติลและคำบรรยายว่ารัฐบาลฝรั่งเศสได้พยายาม "เบี้ยว" เงินค่าบำนาญของทหารอาฟริกาเหนือเหล่านี้มาตลอด!!! ที่จริงตามประวัติศาสตร์ เหล่าทหารอัลจีเรียยังได้ปฏิบัติการต่อไปจนถึงในเขตเยอรมัน แต่การจบเรื่องลง ณ อัลซาส ก็นับว่าเหมาะสม เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ปลดปล่อย "แผ่นดินแม่" สมตามเจตนารมย์ที่กองทัพฝรั่งเศสได้ปลูกฝังมาแต่ต้น แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควร
ภาพรวมของหนังจัดได้ว่าดีไปหมดแทบไม่มีที่ติ ฉากการรบที่แม้จะไม่ค่อยมียุทโธปกรณ์ใหญ่ๆ มาโชว์มากนัก แต่จำนวนคนที่เข้าฉากและเทคนิคประกอบอื่นๆ ก็ทำให้กลายเป็นฉากรบที่ดุเดือดสมจริงได้เช่นกัน ด้านการสะท้อนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง คนอาฟริกาเหนือในกองทัพฝรั่งเศสอาจดีกว่าคนผิวดำในกองทัพอเมริกันตรงที่ได้รบในแนวหน้าเช่นเดียวกับฝรั่งผิวขาว ไม่ได้ถูกแยกไปเป็นหน่วยสนับสนุนในแนวหลังที่แทบจะไม่มีความหมาย แต่ลงท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงความอยุติธรรมคนละรูปแบบเท่านั้น และเป็นประเด็นที่หลายคนอาจจะพึ่งรับทราบจากหนังเรื่องนี้