IMDB : tt13314558
คะแนน : 8
แรกสัมผัสต้องบอกว่าหน้าหนังของ ‘Day Shift’ ชวนให้นึกถึงหนังแนวคู่หูที่มีฉากหลังเป็นโลกแนวแฟนซีอย่าง ‘Men in Black’ (1997) ‘R.I.P.D.’ (2013) หรือหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง ‘Bright’ (2017) ที่เหมือนว่าจะต้องมีตัวเก๋ามาดดุเข้มประกบกับเด็กใหม่ที่ยังละอ่อนฝีมือแต่สร้างบรรยากาศเฮฮาได้ดี ซึ่งหนังในหมวดนี้ไม่ว่าจะทำดีหรือห่วยมันก็ต้องจัดวางไว้ในชั้นนั่งเหยียดขาเอนหลังนั่งดูในเวลาว่างแบบขอไม่ต้องคิดอะไรให้มากอยู่แล้ว และถ้าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์แบบที่ว่าหนังมันจะดูลงตัวในแนวทางของมันพอดี
อาจด้วยเพราะนี่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของอดีตนักแสดงเสี่ยงตายอย่าง เจ.เจ. เพอร์รี (J.J. Perry) ซึ่งเคยผ่านงานหนังใหญ่มานับไม่ถ้วน แค่คัดเอาชื่อเด่นเช่น แฟรนไชส์ ‘John Wick’ และ ‘Fast & Furious’ ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยแล้ว แน่นอนว่าในกรณีเช่นนี้หลายครั้งเราจะเห็นว่าทีมสร้างจะไม่ได้ฝืนเล่าท่ายากอะไรมากและเปิดช่องให้เอาความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบฉากต่อสู้มาเป็นจุดแข็งมากกว่า
และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าพล็อตหนังเรื่องนี้เล่นตามสูตรสำเร็จแบบไม่ขืนอะไรมากเลย โดยเอาไอเดียของมือเขียนบทหน้าใหม่อย่าง ไทเลอร์ ไทซ์ (Tyler Tice) มาให้ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ที่มีผลงานหนังแอ็กชันทรงใกล้กันอย่าง ‘Army of the Dead’ (2021) และ ‘Army of Thieves’ (2021) มาช่วยเสริมลูกเล่นแบบไม่ต้องมากแค่พอดูเพลิน
ว่ากันตามตรงเรื่องราวส่วนใหญ่เดาได้ไม่ยาก และเป็นอะไรที่สบายหัวดูเพลินได้ไปจนจบด้วยสูตรหนังที่คุ้นเคย ชวนให้นึกถึงความเรียบง่ายของหนังแอ็กชันแบบยุคเก่า ๆ ที่ซับซ้อนน้อยแต่เล่าให้สนุกก็พอ
และจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ถือว่าสนุกดูเพลินดีคือ ฉากการต่อสู้กับพวกแวมไพร์ที่สะใจดีเหลือเกิน ตัวเอกอาจมีแค่มีดใหญ่กับปืนลูกซองแต่ก็ใช้พลิกแพลงให้มีท่าพิฆาตได้หลากหลายสมกับที่ผู้กำกับเคยออกแบบคิวบู๊มาโชกโชน และที่แจ๋วเลยคือพวกแวมไพร์ก็ตายยากดีเหลือเกิน แถมยังมีท่าทางประหลาดเหมือนพวกซอมบี้นักกายกรรมอีกต่างหาก ดังนั้นเลยเห็นฉากอัด-ดัด-หักพวกแวมไพร์ไปตั้งแต่หัวยันเท้าเลยทีเดียว ยิ่งไม่ตายก็ยิ่งมัน พวกพระเอกยิ่งได้ฉายฉากฆ่าสุดโหดมากขึ้นเท่านั้น และนี่อาจเป็นสาเหตุให้หนังได้เรต R ไปด้วย แต่ก็รุนแรงสะใจคอหนังบู๊ดีเหลือเกิน แม้จะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนว้าวก็ตาม