ค้นหาหนัง

Darkman III: Die Darkman Die | ดาร์คแมน หลุดจากคน ภาค 3

Darkman III: Die Darkman Die | ดาร์คแมน หลุดจากคน ภาค 3
เรื่องย่อ : Darkman III: Die Darkman Die | ดาร์คแมน หลุดจากคน ภาค 3

ดร. เพย์ตันเวสต์เลคกำลังหมั่นทำความเข้าใจเกี่ยวกับผิวหนังสังเคราะห์เมื่อห้องปฏิบัติการของเขาถูกทำลายโดยพวกอันธพาล หลังจากได้รับการจดจำและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยการทดลองทางการแพทย์ Westlake กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ Darkman โดยสมมติว่าตัวตนอื่นในการแสวงหาการ

IMDB : tt0116033

คะแนน : 5



แล้วเรื่องราวของดาร์คแมนก็ดำเนินมาถึงภาค 3 นะครับ (ในรูปแบบ VDO จ้า ไม่ได้เข้าโรงอะไรกับเขาหรอก)

ภาคนี้ดาร์คแมน (Arnold Vosloo) ก็ยังแฝงตัวในเงามืดพิทักษ์บ้านเมืองต่อไป และศัตรูรายใหม่ก็คือ ปีเตอร์ รุคเกอร์ (Jeff Fahey) เจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่ ซึ่งงานนี้เจ้าปีเตอร์นี่ร้ายครับ ได้วางแผนหลอกล่อให้ดาร์คแมนของเราได้กลับมามีความรู้สึกเหมือนเดิม คือภาคก่อนนี่ดาร์คแมนหน้าเละแล้วระบบประสาทก็ถูกทำลายนะครับ เอาเข็มจิ้มเข็มแทงก็ไม่เจ็บไม่ปวด ไร้ความรู้สึกด้วยประการทั้งปวง

แต่เจ้าพ่อปีเตอร์ก็ได้วางแผนอย่างที่บอกครับ เพื่อทำให้ดาร์คแมนมีจุดอ่อน เจ็บปวดเป็น จะได้ทำร้ายร่างกายมันได้ ก็ทำเพื่อกำจัดดาร์คแมนให้พ้นทางนั่นเองแหละครับ

แล้วครั้งนี้ดาร์คแมนจะเอาคืนได้อย่างไร รวมถึงแผนร้ายของเจ้าพ่อคนนี้คืออะไร พระเอกของเราจะหยุดได้หรือไม่ ก็ว่ากันไปครับ

ก็เป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าเพราะไม่ฮิตเลยเลิกทำต่อหรืออย่างไร (แต่คงเป็นเพราะเหตุผลนั้นน่ะแหละครับ) ซึ่งก็เหมือนเดิม เรื่องราวของดาร์คแมนภาคนี้กลับไปสู่สไตล์เดิมที่ภาคแรกเคยเดินไว้ นั่นคือการต่อสู้กับเจ้าพ่อระดับสูงของเมืองน่ะนะครับ เพื่อยับยั้งไม่ให้มันทำชั่ว ในขณะที่ภาคสองนั้นจะเน้นเหมือนหนังการ์ตูนมากกว่า แบบแบทแมนตีกับโจ๊กเกอร์เงี้ย เอามันส์นะครับ เนื้อหาก็ไม่ได้เข้นนัก (จริงๆ มันเข้มครับ แต่การถ่ายทอดมามันไม่ลื่น ไม่เร้าอารมณ์เพียงพอ)

กับภาคนี้เรื่องราวค่อนข้างอยู่ตัวขึ้นครับ มีความลึกลับซับซ้อน มีลุ้นบ้าง อย่างตอนแรกดาร์คแมนเหมือนจะมีความหวังในหลายเรื่องก่อนที่มันจะพลิกผันไปอีกทาง จนทำเอาดาร์คแมนเกือบตายเขาเลยต้องหาทางทวงแค้นอีกครั้ง และครั้งนี้ยังมีชีวิตเด็กบริสุทธิ์เป็นเดิมพันอีกต่างหาก

แม้ภาคนี้จะมี Effect น้อยกว่าสองภาคแรก แต่เนื้อหามันไม่น่าผิดหวังครับ ผมเลยค่อนข้างโอเค แต่ความพิเศษของตัวดาร์คแมนก็ลดลงไปด้วย ไม่เหมือนตอนก่อนๆ ที่หนังทำให้เรารู้สึกได้ว่าดาร์คแมนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ชนิดหนึ่ง แต่ภาค 3 หนังดึงความเป็นฮีโร่ให้ติดดินมากขึ้น ก็ไม่รู้เป็นจุดด้อยหรือจุดเด่นล่ะครับ ถ้าจะว่าดีก็คือทำให้ตัวดาร์คแมนดูมีเลือดเนื้อสัมผัสได้มากขึ้น แต่ถ้าว่าไม่ดีก็คงเพราะมันทำให้เราเหมือนกับนั่งดูหนังล้างแค้นจากคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้นคนที่ชอบสไตล์ฮีโร่ล่ะคงชอบสองภาคแรก ส่วนภาคนี้เหมาะกับคนชอบหนังแอ๊คชั่นล้างแค้นซะล่ะมากกว่า

Arnold Vosloo ดูจะไปสบายเรื่อยๆ กับบทดาร์คแมนนะครับ แต่ยังไงดาร์คแมนขนานแท้ในใจผมก็ยังคงมีหน้าพี่ liam Neeson จากภาคแรกมาลอยหน้าลอยตาอยู่ครับ ดาร์คแมนของพี่ Arnold ค่อนข้างไร้มิติไปหน่อย (ทั้งๆ ที่บทเปิดโอกาสให้เล่นอารมณ์แบบเต็มที่)

ส่วน Jeff Fahey ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงล่ะครับ เพราะดูพี่ท่านเล่นหนังมากี่เรื่องก็โทนนี้ตลอด บทที่ผมว่าเขาเล่นดีๆ ส่วนมากต้องเป็นตัวละครที่เย็นชาครับ ไร้ความรู้สึกแบบไซมึ้งโชยเสาะอย่างงั้นน่ะ แต่ถ้าบทไหนต้องแสดงอารมณืล่ะไปไม่ได้ทุกที แล้วในเรื่องเขาต้องเย็นชาชั่วช้าราวๆ กับเจ้าพ่ออย่างเทอร์รี่ เบเนดิกต์แห่ง Ocean’s Eleven นั่นแหละ

แต่ในเรื่องพี่ท่านก็เหมือนเดิมครับ นิ่ง ผมเลยมาสรุปเอาได้หลังๆ ว่าเขาเล่นอารมณ์ไม่คล่องนั่นเอง (เลยเล่นได้แต่บทที่ไม่ต้องใส่อารมณ์ไงล่ะครับ)

แล้วคิดดูพี่ Arnold ก็ไม่ค่อยมีอารมณืนะ พี่ Jeff แกก็มาตายด้านอีก ตกลงพระเอกกับผู้ร้ายในเรื่องนี้ยังกับหุ่นกระบอกครับ เชิดๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็จบ ทั้งๆ ที่บทไม่เลวนะครับ เหมือนจะหักเหลี่ยมกันน่ะ แต่นักแสดงดันพื้นๆ หนังเลยโดนผมเผาด้วยประการล่ะฉะนี้น่ะครับ

หนังยังคงกำกับโดย Bradford May ครับ จังหวะต่างๆ ก็โอเคขึ้นนะ แต่ดาราผมว่าต้องคัดที่มันเค้นอารมณ์ได้ดีกว่านี้น่ะครับ แต่เค้าคงไม่กลับไปทำมาใหม่ให้ผมดูหรอก มีแค่ไหนให้ดูก็ดูไปแค่นั้นแล้วกัน

เห็นผมบ่นๆ จริงๆ ดาร์คแมนภาคนี้ไม่ถึงกับเลวร้ายหรอกครับ ถ้าท่านชอบดาร์คแมนก็พอดูได้เพลินๆ แต่อย่าทะลึ่งเอาภาคแรกมาเทียบล่ะ เซ็งเลยนะผมบอกให้ซะก่อนนะเอ้า ต้องทำใจครับ ทำใจไม่คิดมากอย่างแรง คิดซะว่าดูเพื่อจะได้รู้ชะตากรรมต่อไปของดาร์คแมนก็พอ อย่างหวังมากกว่านั้นครับ

ผมก็หวังประมาณนั้นแหละครับ ได้ก็ประมาณนี้ ไม่ดูก็ไม่มีปัญหาครับ โดยรวมคือ ดูภาคแรกแล้วเก็บไว้ในความทรงจำพอ ประหยัดตังค์ไปเช่าหนังเรื่องอื่นต่อไปในภายภาคหน้านะครับผม

โชคดีท่านทั้งหลาย