ค้นหาหนัง

Batman Forever | แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ

Batman Forever | แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ
เรื่องย่อ : Batman Forever | แบทแมน ฟอร์เอฟเวอร์ ศึกจอมโจรอมตะ

เรื่องราวในภาคนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่ เกิดขึ้นในเมือง GOTHAM ซึ่งก่อให้เกิดอาชญากรตัวร้ายมนุษย์สองหน้าขึ้นมา รวมทั้ง ROBIN ซึ่งกลายมาเป็นคู่หูของแบทแมน มนุษย์สองหน้าเกลียดแบทแมนมากเพราะคิดว่าแบทแมนทำให้เขามีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ส่วนมนุษย์เจ้าปัญหาเกลียด BRUCE WAYNE ที่มองข้ามความสามารถของเขาไป ทั้งสองตัวร้ายจับมือเป็นพันธมิตรสร้างความปั่นป่วนโดยหารู้ไม่ว่าศัตรูของเขาทั้งสองคือคนคนเดียวกัน! ขณะเดียวกัน Dr.CHISE MARIDIAN นักจิตวิทยาสาวสวยก็ก้าวเข้ามาสร้างรักสามเส้าระหว่างเธอ BRUCE WAYNE และ BATMAN BATMAN ผู้ปราบเหล่าอาชญากรร้ายแห่งเมือง GOTHAM ผู้มากับความมืดแห่งรัตติกาล เพราะการตายของพ่อกับแม่ทำให้เขาตั้งมั่นที่จะปราบเหล่าร้ายให้สิ้นซาก อีกด้านหนึ่งของเขาคือเศรษฐีหนุ่ม BRUCE WAYNE ประธานของ WAYNE ENTERPRISE ผู้นำ บริษัทอีเลคโทรนิคของเมือง GOTHAM BATMAN ต่อสู้กับเหล่าร้ายด้วยความชาญฉลาดและอาวุธไฮเทคใหม่ล่าสุด การต่อสู้ครั้งนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายที่มีมันสมองเป็นเลิศอย่างมนุษย์เจ้าปัญหา และมนุษย์สองหน้าที่ในอดีตเคยเป็นอัยการประจำเมือง แต่เขาก็ได้ ROBIN เข้ามาเสริมกำลังและได้สร้างอาวุธใหม่เพิ่มขึ้นรวมทั้ง ปรับปรุงโฉมชุดแบทแมนให้แกร่งและน่าเกรงขามกว่าเดิม ส่วนยานพาหนะคือ BATMOBILE, BATWING BATBOAT และ BATSUB จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมเข้ามา นอกจากต้องต่อกรกับวายร้ายทั้งสองแล้ว BATMAN ต้องพบกับปัญหารักสามเส้าที่ยังไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร BATMAN เป็นตัวน่ารังเกียจของอาชญากร ในขณะเดียวกันก็ทำให้ BRUCE WAYNE อิจฉาในความเก่งกาจของเขาเหมือนกัน

IMDB : tt0112462

คะแนน : 7



หลังจาก 2 ภาคแรกโด่งดังกันสุดๆ การไม่สร้างภาค 3 ย่อมเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตอนแรกหนังก็จะใช้ทีมงานเดิมครับ นั่นคือผู้กำกับ Tim Burton และ Michael Keaton ก็ยังคงเป็นแบทแมน ศัตรูในภาคนี้หลักๆ ก็คือเดอะ ริดเลอร์ หรือ มนุษย์เจ้าปัญหา ซึ่งได้รับการวางตัวไว้ว่าน่าจะเป็น Robin Williams และนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นจิตแพทย์สาว ดร. เชส เมอริเดียนก็ได้ Rene Russo มารับบทไป นอกจากนี้ทาง Warner Bros. ก็ยืนยันว่ายังไงๆ โรบินก็ต้องมาโผล่ในภาคนี้ แต่แล้วทุกอย่างที่ว่าแน่นอนกลับกลายเป็นความไม่แน่นอนไปในบัดดลเมื่อพี่ Tim แกปฏิเสธไม่กำกับภาค 3 ของหนังชุดนี้!

จะว่าไปก็ไม่มีข่าวที่ชี้ ชัดๆ ลงไปได้เลยว่าทำไมพี่ Tim แกถึงไม่ยอมกำกับ เราๆ ท่านๆ ก็ได้แต่นั่งเดาไปเรื่อย ความเป็นไปได้ก็มีหลายอย่าง ที่สำคัญๆ ก็หนีไม่พ้นโทนหนังของ Batman 2 ตอนแรกที่ยิ่งทำก็ยิ่งทึมและยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดผู้ปกครองบางคนออกมาต่อต้านหาว่าหนังจริงจังและรุนแรงเกินเหตุ ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ อีกทั้งรายได้จากการขายของเล่นจากหนัง Batman Returns ก็ต่ำมากจนน่าผิดหวัง และที่หนักไปกว่านั้นคือ พี่ Tim แกยืนกรานว่าถ้าทำภาคหน้า เรื่องความทึมและความโรคจิตจะทวีคูณขึ้นไปอีก (ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมโคตรอยากดูเลยครับ มันต้องมันส์แน่ๆ อ้ะ) แต่ทาง Warner ไม่ยอมท่าเดียว กลัวคนดูและรายได้จะหดหายลงไปกว่านี้ ก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้น
และความขัดแย้งระหว่างพี่ Tim กับ Warner ดูเหมือนจะมาถึงจุดสูงสุดก็อีตอนที่พี่ Tim แกจะทำหนังเรื่อง Ed Wood นี่แหละ

คือ พี่ Tim ได้ยื่นข้อเสนอไปว่าจะทำ Ed Wood หนังแนวดราม่าที่เล่าถึงเรื่องของชีวิตนายเอ็ดเวิร์ด ดี วู้ด จูเนียร์ ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าทำหนังออกมาได้ห่วยที่สุดในโลก แล้วทำออกมาอย่างเดียวไม่พอ ยังยืนกรานว่าจะทำเป็นหนังขาว – ดำอีก ทาง Warner เองก็อ้ำอึ้งไม่รับคำใดๆ ทั้งสิ้น บอกแค่ว่าไว้ทำ Batman Forever เสร็จก่อนแล้วค่อยมาคุยกันอีกที

… ตอบแบบนี้มีหรือพี่ Tim ผมจะยอมรับได้ … หยั่งงี้เลยลาออกครับ พี่แกจัดการโยกย้ายสำมะโนครัวไปยังค่าย Walt Disney ทันที แล้วก็ไปทำ Ed Wood สมใจในที่สุด

ทีนี้ทาง Warner ก็สนุกล่ะครับ ผู้ให้กำเนิดหนัง Batman ยุคใหม่ดันไปซะแล้ว ทีมงานก็ระส่ำระสายกันหมดทุกฝ่าย Robin Williams ก็ว่าจะไม่เอาแล้ว เพราะความแน่นอนไม่มีขนาดนี้ พี่ Michael Keaton พอเห็นไม่มีเพื่อนเก่าอย่างพี่ Tim ก็เลยตบเท้าออกไปอีกราย (แต่เขาว่าอีกเหตุผลก็มาจากเรื่องค่าตัวครับ) พี่ Danny Elfman คอมโพเซอร์คู่บุญก็ออกตามพี่ Tim ไป คนอื่นๆ ก็ออกไปกันหมดเรียบวุธ

แต่มีหรือที่ Warner จะยอมตาย เขาก็เลยหาทางคัดตัวผู้กำกับใหม่ และหวยก็มาลงที่ Joel Schumacher ซึ่งเป็นลูกหม้อเดิมของ Warner ซึ่งเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะมาทำได้ อีกทั้งพี่ Joel ยังเสนอให้ Batman ภาคนี้ลดความรุนแรงลง ทำให้เป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว … อย่างที่ Warner ต้องการเป๊ะ

ทีนี้ความแน่นอนบังเกิดแล้วครับ ทีมงานเลยกลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง หนัง Batman Forever จึงก่อกำเนิดความเป็นหนัง Batman แบบใหม่ขึ้นมา

การคัดเลือกคนจะมา แสดงเป็นแบทแมนก็เริ่มอีกครั้ง โดยตัวเลือกแรกที่แล่นเข้ามาในสมองของ Warner ก็คือ Tom Hanks (เฮือก) แต่แน่ล่ะครับว่าเขาไม่เอา บทเลยตรงมาตกเป็นของ Val Kilmer ส่วนโรบินก็มีหลายตัวเลือก เช่น Leonardo DiCaprio, Michael Worth รวมไปถึง Scott Speedman แต่สุดท้ายคนที่ชนะการแข่งขันก็คือ Chris O’Donnell (ผมว่าสาวๆ หลายคนคงอยากให้ Leo ได้ไปมากกว่าจริงมั้ยล่ะ)

ส่วนบท เดอะ ริดเลอร์นั้น ตอนแรกก็จะเป็น Robin Williams แต่พอทีมงานไม่แน่นอนในตอนแรกพี่แกก็เริ่มทำท่าจะออก แต่พอได้ Joel มาก็เริ่มมีการเจรจาใหม่ แต่ปรากฎว่าบทหนังฉบับนี้พี่ Robin แกไม่ถูกใจนักเลยไปดีกว่า ตัวเลือกใหม่ก็มี Brad Dourif กับ Mark Hamill แต่พอดี Jim Carrey กำลังดังโคตรๆ ทำให้บทตกเป็นของเขาอย่างง่ายดาย

เนื้อ เรื่องในภาคนี้บรูซ เวย์น หรือ แบทแมน (Val Kilmer) ต้องต่อกรกับวายร้ายถึงสองตัว รายแรกนั่นคือ ทูเฟซ (Tommy Lee Jones) อดีตอัยการฮาร์วี่ย์ เดนท์ที่ต้องเสียโฉมอันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการช่วยเหลือเขา ซึ่งเผอิญคนที่ช่วยเขาก็คือ แบทแมน พี่แกเลยแค้นฮีโร้คนนี้เป้นหนักหนา ส่วนอีกคนก็คือ ริดเลอร์ มนุษย์เจ้าปํญหา (Jim Carrey) อดีตพนักงานในเวย์น เอนเตอร์ไพรซ์ที่ผันตัวเองมาเป็นอาชญากร

แล้วบรูซ เวย์นก็ยังได้พบกับ ดร.เชส เมอริเดียน (Nicole Kidman) จิตแพทย์สาวสวย พร้อมทั้งได้เจอกับดิ๊ก เกรย์สัน (Chris O’Donnell) เด็กจากคณะละครสัตว์ที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของทูเฟซ และเขาก็ได้ผันตัวมาเป็นนักปราบอธรรมนาม โรบิน ในเวลาต่อมา

โทนหนัง สีสันสดใสแต่ยังแฝงความทะมึนไว้พอสมควร แต่เนื้อหานั้นต้องนับว่าอ่อนลงกว่าสองตอนแรกมากครับ การเสียดสีแง่มุมน่าสนใจไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ส่วนมากดูเอามันส์และความสะใจอย่างเดียว ตัวร้ายอย่างทูเฟซและริดเลอร์แม้จะได้การแสดงดีๆ ช่วยไว้มากก็ตาม แต่ก็ขาดมิติและความลึกโดยสิ้นเชิง

ก็ยังดีที่หนังยังกล่าวถึง เรื่องปมทางจิตของบรูซ เวย์นไว้นิดหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นภาคนี้ปมนั้นยังถูกแก้ออกเสียด้วย ซึ่งจะว่าดีก็ดีตรงที่แบทแมนอาการทางจิตหายแล้ว แต่ข้อเสียคือทีนี้ปมต่างๆ เกี่ยวกับจิตใจของบรูซ เวย์นและแบทแมนก็จะไม่สามารถถูกนำมาใช้อีกต่อไป (และภาค batman & Robin บทแบทแมนก็กลายเป็นคนธรรมดาขาดความเด่นไปเลย)

ตัวหนังจัดเป็นสูตรสำเร็จเอามันส์ครับ สีสีนฉุดฉาด มีแอ๊คชั่นเอามันส์ มุขฮาเพียบ ดาราดังๆ มาประชันฝีมือกัน (และ 555 Nicole Kidman น่ารักสุดๆ เลย) ดูเอาเพลินครับ ไม่ต้องคิดมาก แม้หนังจะอ่อนกว่าสองตอนแรก แต่ก็ยังพอดูเอาสนุกได้แบบเรื่อยๆ

แน่ล่ะครับผมชอบ 2 ตอนแรกมากกว่าตั้งมากมาย แต่ภาคนี้ถ้าดูแบบไม่คิดอะไร มันก็โอเค พอเพลินๆ ได้