ค้นหาหนัง

A View to a Kill | พยัคฆ์ร้ายพญายม 007[James Bond: Roger Moore]

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น
A View to a Kill | พยัคฆ์ร้ายพญายม 007[James Bond: Roger Moore]
เรื่องย่อ : A View to a Kill | พยัคฆ์ร้ายพญายม 007[James Bond: Roger Moore]

หลังเสร็จจากภารกิจหนึ่ง บอนด์กลับมาจากการเดินทางออกจากสหภาพโซเวียตพร้อมด้วยชิพคอมพิวเตอร์ ชิพนี้มีความสามารถในการต้านทานรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ที่อาจทำลายชิพปกติได้ ชิพนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ซอริน อินดัสตรี้ บอนด์ได้ไปสอบสวน แม็กซ์ ซอริน มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจแก๊สและน้ำมัน ซอรินดูเหมือนเป็นคนไม่มีพิษสง แต่ความจริงแล้วเขากำลังวางแผนที่จะก่อแผ่นดินไหวในเมืองซานแอนเดรียส ซึ่งจะทำให้ซิลิคอนวัลเลย์ล่มสลายเพื่อกำจัดคู่แข่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาที่จะครองตลาดและผูกขาดธุรกิจผลิตไมโครชิพบนโลกนี้มาเป็นของตัวเอง บอนด์ที่ได้รับรู้ถึงแผนการร้ายนั้นจึงได้เข้าขัดขวางอย่างถึงที่สุด

IMDB : tt0090264

คะแนน : 7



หลังจากหนังเจมส์ บอนด์ตอน Octopussy ประสบความสำเร็จและยังทำเงินมากกว่าบอนด์ตอน Never Say Never Again ที่สร้างโดย Kevin McClory การสร้างตอนต่อจึงเริ่มอย่างรวดเร็วครับ โดยคราวนี้ Michael G. Wilson ได้โดดมาร่วมอำนวยการสร้างร่วมกับ Albert R. Broccoli แบบเต็มตัว และยังคงทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับ Richard Maibaum อีกเช่นเคย และผู้กำกับก็หนีไม่พ้น John Glen คนเดิม

เนื้อเรื่องในตอนนี้ว่าด้วยแผนการอำมหิตของวายร้ายอัจฉริยะที่มีนามว่า แม็กซ์ ซอริน (Christopher Walken) เศรษฐีร้อยล้านที่รวยได้ด้วยธุรกิจแก๊สและน้ำมัน ซึ่งเขามาพร้อมแผนที่จะรวบเอาธุรกิจผลิตไมโครชิพมาเป็นของตน และการที่จะบรรลุแผนนั้นเขาต้องถล่มซิลิคอน วัลเล่ย์ให้ราบเป็นหน้ากลองเสียก่อนเพื่อตัดคู่แข่งให้หมดสิ้น

แต่ก็แน่นอนว่าจะต้องมีคนตายอีกมาก และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจย่อมเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเป็นหน้าที่ของบอนด์ (Roger Moore) ในการยับยั้งซอริน

ทีมงานและนักแสดงส่วนใหญ่ก็ยกทีมเดิมมาจากคราวก่อน ผู้กำกับยังคงเป็น John Glen บอนด์ก็ยังสวมบทโดย Moore ด้านตัวร้ายอัจฉริยะอย่างซอรินนั้น แรกเริ่มทีมงานต้องการ David Bowie นักร้องชื่อดังมาแสดง แต่รายนั้นก็ไม่มาเล่นครับด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมไม่อยากจะเสียเวลา 5 เดือนเพื่อมารับบทที่ต้องใช้แต่สตันท์แสดงแทนหรอกนะครับ”

ต่อมาก็เชิญ Sting ซึ่งก็บอกปัดอีก จนมาหยุดที่ Walken ดาราออสการ์จากหนังเรื่อง The Deer Hunter ซึ่งก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังครับ ทั้งมาด ท่าทางแววตาพี่แกดูโรคจิต อำมหิตและฉลาดแกมโกงจนเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว

ตามด้วยนักร้องสาว Grace Jones ในบท เมย์ เดย์ มือขวาสาวผิวเข้มที่ซัดบอนด์จนหมอบกระแตได้, Tanya Roberts สาวเซ็กซี่สุดน่ารักที่กุมหัวใจหนุ่มๆ จากซีรี่ส์ Charlie’s Angel และบทสาวสวยเจ้าป่าใน Sheena (1984) มาเป็นสาวบอนด์ประจำตอนครับ สเตซี่ย์ ซัตตัน และ Patrick Macnee เจ้าของบทจอห์น สตีด ยอดสายลับแห่งซีรี่ส์ The Avengers มาร่วมแสดงเป็นเซอร์ก็อดฟรี่ย์ ทิปเบตต์ ที่ถูกส่งมาช่วยงานบอนด์

ลีลาบอนด์ในภาคนี้ออกมาในโทนเน้นบันเทิงครับ เนื้อหาไม่ซับซ้อน เน้นสนุกเป็นหลัก มีอารมณ์ขันอุดมมากๆ และที่ไม่เหมือนตอนใดๆ คือฉากแอ็กชันบู๊เสี่ยงตายหลายฉากถูกถ่ายทอดออกมาในแนวเบาๆ แทนที่จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เช่น ฉากที่บอนด์ห้อยโหนบนบันไดรถดับเพลิง แล้วก็มีรถตำรวจตามล่ามาเป็นสิบคัน (เพราะบอนด์ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกร) ก่อนบทสรุปแห่งการไล่ล่านั้นจะลงเอยโดยการที่บอนด์สามารถหนีโดยพารถข้ามสะพานที่กำลังยกตัวขึ้นมาได้ทัน แต่รถตำรวจที่ตามมาดันวิ่งขึ้นสะพานตอนที่มันยกตัวไปไหนต่อไหนแล้ว รถเลยไหลลงมาชนกันเป็นทอด พังเป็นแถบๆ ซึ่งฉากเหล่านี้ก็ถือเป็นการคารวะมุขตลกหนังเงียบสมัยขาวดำอยู่ในที

ทว่าเจตนาดีของทีมงานที่หวังจะทำบอนด์ตอนนี้ออกมาเบาๆ กลายเป็นหอกมาปักตัวเองครับ เพราะเมื่อหนังเบาเกินไป แม้ความสนุกและเรื่องฮาๆ จะมีเยอะแค่ไหน แต่ยังไงคนก็อยากดูการผจญภัยที่ได้กลิ่นอายสายลับของบอนด์มากกว่าจะมาดูหนังสไตล์สายลับกึ่งตลก (ซึ่งยุคนั้นก็มีหนังสายลับตลกทำออกมาเพียบ ทั้งหนังและซีรี่ส์)

อีกทั้งสังขารของ Moore ก็โรยราตามอายุ ลีลาการบู๊หรือเสน่ห์แบบบอนด์ๆ ก็จางลงไป จน Moore ตัดสินใจอำลาบทบอนด์โดยให้เหตุผลว่า “คิดดูสิครับ ผมอายุ 57 ปี แก่กว่าแม่ของ Tanya Roberts ซะอีก!”

และนี่ยังเป็นตอนสุดท้ายที่ Lois Maxwell แสดงเป็นมิสมันนี่เพนนีด้วย ว่ากันว่าเธอเคยเสนอกับ Broccoli ให้เลื่อนขั้นเธอจากเลขามาเป็น M แทน แต่ Broccoli บอกว่าการจะให้บอนด์รับคำสั่งจากหัวหน้าที่เป็นผู้หญิงนั้นออกจะเป็นเรื่องที่แปลกและคนดูอาจไม่ยอมรับ (สำหรับยุคนั้นนะครับ เพราะตอนนี้ Judi Dench เป็น M ได้ยอดเยี่ยมมาก)

โดยรวม บอนด์ภาคนี้จึงประสบความสำเร็จไม่ค่อยเยอะ รายได้ทั่วโลกหยุดอยู่ที่ $152 ล้าน ในขณะที่บอนด์ 4 ตอนหลังทำเงินไม่ต่ำกว่า $185 ล้านมาตลอด ด้านคำวิจารณ์ก็ค่อนไปทางลบ และบ่นว่าหนังเบาหวิวเกินไป

สำหรับผมนะครับ ถ้าไม่คิดมากก็สามารถดูได้แบบเพลินๆ คล้ายกับตอน Moonraker ที่เน้นเว่อร์และเน้นขำพอๆ กัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทค่อนข้างเบา แม้แผนของซอรินจะยอดเยี่ยมและบุคลิกวายร้ายของซอรินจะเด่นแค่ไหน แต่พอรายละเอียดอื่นๆ ไม่เข้มข้น เลยทำให้ความน่าสนใจลดลงไปพอสมควร

กระนั้นก็ต้องยอมรับอีกอย่างว่าบอนด์ตอนนี้สาวสวยหลายคน นอกจาก Roberts แล้ว ยังมี Fiona Fullerton ในบท พอลล่า อิวาโนว่า สายลับสาวที่มาเพื่อลวงเอาข้อมูลจากเจมส์ บอนด์ และ Alison Doody ในบท เจนนี่ เฟล็กซ์ สมุนอีกคนของซอริน

นอกจากนี้ A View to A Kill ยังเป็นบอนด์ที่มีเกร็ดสนุกๆ หลายอย่างหลังกล้อง อย่างเช่นนี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ Dolph Lundgren ได้แสดงบทจอใหญ่ (เขาเล่นเป็นหนึ่งในลูกน้องของนายพลกอกอลแห่งรัสเซียน่ะครับ ฉากตรงสนามม้านั่นแหละ) นอกจากนี้ Maud Adams ที่แสดงหนังบอนด์มาแล้วถึง 2 ตอน (แต่ต่างบทบาท) ก็มาร่วมปรากฏตัวแบบไม่ตั้งใจในหนังเรื่องนี้ด้วย

เรื่องของเรื่องคือวันที่กองถ่ายกำลังถ่ายฉากตรงท่าเรือประมงของซานฟรานซิสโก วันนั้น Adams ก็แวะมาเยี่ยมเยียน Moore (ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนกันครับ) พอเยี่ยมปุ๊บกองถ่ายก็จะถ่ายต่อ ซึ่งตอนนั้นเธอก็ยังไม่ได้จากไปไหนครับ ยังอยู่ในฝูงชนในฉากนั้นพอดี ทำให้มีการถ่ายติดเธอเขามาในเฟรม แต่เป็นการติดแบบแว้บๆ น่ะครับ

ทำให้มีคนแอบบันทึกลงไปว่า Adams กลายเป็นสาวบอนด์ที่ได้ขึ้นจอในหนังบอนด์มากที่สุด เพราะได้โผล่ตั้ง 3 เรื่องแน่ะ

ก็ถือเป็นบอนด์ตอนที่เหมาะจะดูแบบไม่คิดอะไรมากครับ ดูเพื่อเสพความบันเทิงเป็นหลัก และอย่าได้แปลกใจหาคุณๆ จะเฉยกับตอนนี้ เพราะขนาด Moore เองก็ยังออกมาบอกเลยว่า นี่คือบอนด์ตอนที่เขาชอบน้อยที่สุด เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้ทรงเสน่ห์เหมือนตอนหนุ่มๆ เขายอมรับถึงขนาดวิจารณ์ตัวเองว่าแสดงได้ไม่เข้ากับ Tanya Roberts เท่าที่ควร (แต่ผมว่าเขาก็ยังแสดงได้โอเคน่ะครับ)

แต่แม้ตัวหนังจะไม่เข้าเป้า ทว่าในเรื่องเพลงไตเติ้ลของหนังตอนนี้ที่ขับร้องโดยวง Duran Duran ได้รับความสำเร็จอย่างสูงครับ กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตกันไปเลย

อาจไม่ใช่บอนด์ตอนที่สนุกที่สุด แต่ก็ยังดูได้เรื่อยๆ ครับ