IMDB : tt14820290
คะแนน : 6
ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากมังงะ ถือเป็นหนังที่ต้องทำใจและเผื่อใจก่อนดูอยู่เสมอ มีโอกาสผิดหวังได้สูงมาก เช่น นักแสดงมีบุคลิกหรือรูปลักษณ์ไม่ตรงกับต้นฉบับ หรือความเล่นใหญ่ ความการ์ตูนที่พอเป็นไลฟ์แอ็คชั่นแล้วออกมาผิดที่ผิดทาง อย่างไรก็ดี ถือเป็นโชคดีที่หนังที่ดัดแปลงจากผลงานของ อินิโอะ อาซาโนะ (Inio Asano) ล้วนออกมาน่าพอใจทุกเรื่อง
สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบใน A Girl on the Shore คือฉากหน้าของมันที่แสนจะปกติ ครอบครัวของซาโตะนั้นรักใคร่กลมเกลียวกันดี ส่วนพ่อของอิโซเบะแม้จะนานๆ กลับบ้านที แต่ก็ดูเอาใจใส่ลูกชายอย่างดี หากเมื่อหนังดำเนินไป เรื่องราวดำมืดและความผิดปกติก็เริ่มเผยให้เห็น ทั้งปมในอดีตของอิโซเบะเกี่ยวกับพี่ชายผู้ล่วงลับ ส่วนฝั่งของซาโตะ ความรู้สึกที่เธอมีต่ออิโซเบะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ทว่าเธอกลับไม่สามารถอธิบายมันได้
มังงะต้นฉบับของ A Girl on the Shore ประกอบด้วยฉากเซ็กซ์ที่ ‘ฮาร์ดคอร์’ พอสมควร มันไม่ใช่เซ็กซ์ของเด็กคึกคะนอง แต่เป็นดั่งกิจกรรมที่ตัวละครเข้าใจไปเองว่ามันจะช่วยเต็มเติมพวกเขา ก่อนจะพบว่ามันกลับทำให้กลวงเปล่ากว่าเดิม สำหรับตัวภาพยนตร์ก็จำเป็นต้องตัดฉากเซ็กซ์ออกไปบ้างเพื่อเรท R-15 ที่เข้าถึงคนวงกว้าง ส่วนพระนางของเรื่องแม้จะอายุเกิน 20 ปีไปแล้ว แต่ก็รับบทเด็ก ม.3 ได้แนบเนียน ที่สำคัญอาซาโนะได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกนักแสดงด้วย
อาจกล่าวได้ว่า A Girl on the Shore ฉบับจอเงินนั้นซื่อสัตย์กับต้นฉบับอย่างมาก มันแทบจะเป็นการดัดแปลงแบบฉากต่อฉาก อย่างเช่นห้องของพระเอกที่เหมือนกับในการ์ตูนแบบเป๊ะๆ (ซึ่งนักแสดงให้สัมภาษณ์ว่ามันช่วยให้เขาเข้าใจตัวละครได้อย่างมาก) รวมถึงฉากหลังของเรื่องที่เป็นเมืองติดทะเลแบบเดียวกับมังงะ ภาพหาดทรายและทะเลอันเวิ้งว้างยิ่งขับเน้นความคับข้องใจของตัวละคร พวกเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้กับเขา แต่ก็ไม่สามารถออกไปได้ ไม่น่าแปลกใจที่อิโบเซะกับซาโตะต้องกระโจนเข้าหากัน
เพลงประกอบเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของ A Girl on the Shore ทั้งเพลง Kaze wo Atsumete ของวง Happy End (หลายคนน่าจะรู้จักเพลงนี้จากซาวด์แทร็กหนัง Lost in Translation) ที่บรรเลงในฉากที่อารมณ์ของหนังพุ่งพล่านขีดสุด แต่เพลงโฟล์คร็อคว่าด้วยการโอบกอดสายลมเพลงนี้ช่างขัดแย้งและทำให้หนังเศร้ากว่าเดิม รวมไปถึงสกอร์ที่เป็นฝีมือของ World’s End Girlfriend ศิลปินแนวอิเล็กทรอนิกคนดัง ดนตรีแบบมินิมอลของเขาเข้ากันดีกับหนังที่พยายามเล่าถึงความเจ็บปวดแบบไม่ฟูมฟายแต่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด
เสน่ห์อีกอย่างของ A Girl on the Shore คือไม่ว่าจะอ่านหรือดูจนจบ เราก็ไม่อาจแน่ใจถึงความรู้สึกของพระเอกนางเอก เราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าสุดท้ายอิโซเบะคิดกับซาโตะอย่างไร เขาจะยังชอบเธออยู่หรือไม่ ส่วนรายของซาโตะ แม้จะยอมรับว่าเธอน่าจะรักอิโซเบะเข้าแล้ว แต่มันดูเป็นความรักที่เปี่ยมด้วยความเห็นแก่ตัวมากอยู่ ในฉากที่อิโซเบะพูดว่าเขาวางแผนที่จะตาย ซาโตะก็ร่ำไห้ออกมาแล้วบอกว่า “ฉันไม่ติดอะไรหรอกถ้าเธอจะตาย แต่อย่ามาพูดกับฉันว่าเธออยากตาย”
ช่วงสุดท้ายของ A Girl on the Shore ออกจะประหลาดสักหน่อย เพราะอยู่ดีๆ มันก็ตัดไปเล่าถึงชีวิตมัธยมปลายอันสามัญธรรมดาของซาโตะ เธอย้ายไปเมืองอื่น มีกลุ่มเพื่อนแสนเฮฮา มีแฟนหนุ่มคนใหม่ที่ดูเป็นคนน่ารัก ทว่าเราอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือความปกติแท้จริงหรือ ซาโตะบอกกับแฟนเธอว่า “สัญญานะว่าเธอจะรักฉันตลอดไป” แล้วเธอล่ะรักเขาบ้างหรือเปล่า หรือเขาก็คือ ‘อิโซเบะคนใหม่’ ของเธอ
นอกจากนั้นไม่ว่าจะมังงะหรือภาพยนตร์ ก็ไม่มีการกล่าวถึงอิโซเบะในช่วงท้าย เราไม่อาจทราบถึงชะตากรรมของเขา มุมมองทุกอย่างถูกเล่าผ่านซาโตะ มันทำให้เราตั้งคำถามว่าสำหรับเธอแล้วเขามีความหมายอย่างไร เธอจะจดจำเขาได้มากแค่ไหน หรือเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดมาแล้วจากไป แต่ก็เหมือนที่เพลงธีมของหนัง Kaze wo Atsumete บอกไว้ …คนเราไม่อาจไขว่คว้าสายลมเอาไว้ได้