IMDB : tt0458352
คะแนน : 7
นี่แหละครับหนังเรื่องนี้ จะมองให้สู้ก็ได้ จะมองให้มันปลงก็ได้ แล้วแต่คนละเลือกมองครับ ผมถึงมองว่ามันได้หมดนะ ท่านจะมองแบบไหนก็สุดแท้แต่ แต่มันชวนให้ท่านมองได้ทั้งสองด้าน และนี่คือเป็นเหตุหลักที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ มันหลากหลาย มองแบบไหนแล้วแต่เราจะอยากรับรู้อย่างไร แต่มันน่าคิดทุกมุมมองจริงๆ
ในเรื่องของดารานั้น มันก้เหนือจะกล่าวอยู่แล้วล่ะครับ คนที่เด่นสุดๆ หนีไม่พ้นสองตัวนำหลัก ซึ่งตีคู่กันมาอย่างดี อันนี้ผมก็อดทึ่ง Anne Hathaway ไม่ได้นะ คือเธอตีคู่ไปกับ Meryl Streep ถือว่าไม่ธรรมดานะครับ ความเด่นและส่วนต่างๆ มันลงล็อคกันมาก ซึ่งก็ต้องชมเรื่องบทและการกำกับด้วย แต่ถึงยังไงก็เหอะ ถ้า Hathaway ไม่แน่หนังคงไม่ลงตัวขนาดนี้หรอกครับ
Hathaway ดูเหมาะโคตรๆ กับบทแอนดี้นะฮะ จะว่าไปแนวทางก็เหมือนๆ ใน The Princess Diaries น่ะแหละครบั เปิดมาดูโทรมๆ แต่งตัวไม่เป็น แต่พอเช้งนี่สุดยอด และน่ารักมากๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ไอ้พวกหน้าตลกนี่ยอมรับว่าเธอทำได้จริงๆ ครับ หรือตอนอ้อนนี่ก็สุดตีน อย่างตอนอ้อนกับแฟนหนุ่มในห้องแล้วก็ถามว่าชอบชุดมั้ย โอ้ย แม่เจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา คือใครไม่หลงเสน่ห์หรือไม่ให้อภัยเธอก็เกินไปล่ะครับ และเธอยังทำให้ตัวละครตัวนี้มีมิติ ไม่ได้ฮาอย่างเดียว คือมีทั้งอารมณ์ความรู้สึก มีอ่อนแอและเข้มแข็ง อย่างตอนเจอหน้าเจ้าคริสเตียนนั่นก็แสดงชัดออกมาเลยครับว่ากำลังสับสนและปลื้มชายคนนี้อยู่
แต่จุดที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับตัวแอนดี้คือ เธอรู้ตัวเองอยู่เกือบตลอด อย่างที่มิแรนด้าว่านั่นแหละครับว่าที่จ้างเธอเพราะเะอไม่เหมือนใคร เธอไม่ใช่แม่สาวไซส์ 4 ที่เอาแต่ตามแฟชั่นและไร้ความคิด ไม่ใช่คนยอมแพ้และเหนืออื่นใดคือเธอไม่หลงระเริงไปกับอะไรง่ายๆ … โอเค ช่วงที่หลงน่ะมีครับ แต่เธอก็มีสติเพียงพอที่จะดึงตัวเองกลับมาทัน อย่างการแต่งกายที่ผมเกริ่นไปข้างต้นนะฮะ ตอนแรกเธอก็พยายามตามแฟชั่น แต่พอทำๆ ไปเธอก็เริ่มมิกซ์แอนด์แมทช์ในแบบของตัวเองขึ้นมา คือเธอไม่ได้ดูแห่เฮโลตามกระแสแบบสาวคนอื่นๆ ครับ ที่พอเห็นชุดนี้แล้วเขาฮิตกันก็ตามใส่ แต่กับแอนดี้เธอใส่เพราะเธอชอบและเห็นว่าเหมาะกับตนเอง และเธอไม่ตามแบบใครด้วย มันเลยทำให้ผมเชื่อในการตัดสินใจของเธอไงครับ เมื่อเธอรู้ว่าตนกำลังหลงทาง ก็เลยรีบดึงตัวเองกลับมาอย่างเร็วที่สุด
คนแบบนี้น่าเอาใจช่วยครับ สำหรับผมน่ะนะ และใช่ครับ เธอสวยน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คนบ้าอะไรฟะ ขาวสวยหน้าใส ดูมีเลือดฝาดได้ปานฉะนั้น (จริงๆ อยากแสดงอาการปลื้มมากกว่านี้ครับ แต่อาจโดนบางคนกระทืบได้หากอ่านเจอ 555)
แต่แน่นอนครับ แม้ Hathaway จะแสดงได้ดี แต่หากหนังเรื่องนี้ไม่มี Meryl Streep ความยอดเยี่ยมต้องหายไปกว่าครึ่ง โอย รายนี้เจ้าแม่จริงๆ ครับ เล่นเรื่องไหนหายห่วง ในเรื่องนี่ใช่อ้ะ คือผมเคยมองบทมิแรนด้านะครับ แล้วนึกภาพว่าใครเหมาะจะเล่นบ้าง ก็มีหน้าป้าแกเด้งขึ้นมาพร้อมๆ กับ Glenn Close แต่พอมานึกๆ ผมว่าป้า Meryl เหมาะกว่ามาก เพราะถ้าพูดถึงแววตาเย็นชาแบบจิกล่ะต้องเจ้านี้ครับ ในขณะที่ ป้า Glenn จะออกแนวดุมากกว่า และก็นั่นครับ เธอทำให้มิแรนด้าเป็นตัวละครที่ทั้งร้าย ทั้งน่าหมั่นไส้ และน่าสงสารได้หมด และยังทำให้ฮาได้ด้วย เอาแค่ตอนมองแอนดี้หลังจากแปลงโฉมใหม่แบบเหลียวหลังนี่ก็สุดตีนแล้วอ้ะครับ เนียนมากๆ
และจุดที่ยอดเยี่ยมคือ ป้าแกทำได้ ที่ทำให้ตัวละครมิแรนด้า มีมิติความลึกอย่างมากมาย เพราะหากสังเกตดีๆ จะพบว่าตัวละครนี้ไม่ได้มีแค่พฤติกรรมร้ายเท่านั้นครับ แต่ยังมีจุดเด่นอีกหลายอย่าง และจุดเด่นแต่ละอย่างนี่ทำให้ผมเชื่อเลยว่าผู้หญิงแบบมิแรนด้า พรีสต์ลีย์คนนี้เป็นหญิงแกร่งนักทำงานอย่างแท้จริง กล่าวคือหากท่านจะเป็นหนึ่งในเรื่องเชิงธุรกิจหรืองาน ท่านก็ต้องมีลักษณะเหล่านี้เอาไว้บ้าง
ไม่ว่าจะความเด็ดขาด เฉียบคม พูดตรงไม่อ้อมค้อม พูดอย่างไรก็อย่างนั้น หูตากว้างขวาง รู้จักเช็คข่าว ตามโลกให้ทัน รู้เรื่องที่ตนทำงานอย่างลึกซึ้งและจริงจัง รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ ไม่เผยไต๋ก่อนเวลาอันควร และเหนืออื่นใดคือ สังเกตคนรอบข้างกับทุกอย่างรอบตัวแบบไม่มีขาดตก
จุดนี้เป็นจุดที่ผมว่าเป็นหนึ่งในจุดดีที่มิแรนด้าเคยมีตอนยังสาวนะครับ คือในเรื่องเราจะเห็นว่ามิแรนด้าว่าคนตรงจุด ด่าคนโดนที่ใจแบบจี้ใจดำ และถ้าดูแววตาเธอจะพบว่าเธอมองทุกคนสังเกตอาการตลอด คือถ้าตอนเธอสาวๆ เธอคงใส่ใจคนอื่นมากล่ะครับ แต่พอทำงานมากๆ เหยียบบ่าคนมากๆ จากการเอาใจใส่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการสังเกตเพื่อประโยชน์ของตน จะว่าเป็นวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอดก็ได้น่ะครับ หากจะอยู่รอดในวงการนี้ก็ต้องปรับจากการเอาใจใส่ มาเป็นการใส่ใจแต่ไม่ใช่เพื่อเป็นห่วงใครนอกจากเอาใจใส่และเข้าใจคน เพื่อเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนเอง
และผมว่าเธอคงมองเห็นตัวเธอตอนสาวๆ ในตัวแอนดี้ล่ะครับ เธอเลยรู้สึกสะดุดตาสาวคนนี้เป็นพิเศษ และหากสังเกตดีๆ เธอยังแสดงความอ่อนโยนกับอ่อนแอให้แอนดี้ให้ในหลายๆ ครั้ง
ก็แหงล่ะครับ เราย่อมแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเปิดเผยที่สุด ตอนได้คุยกับคนที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับเรา
แต่จุดที่ต่างกันของเธอกับแอนดี้ ไม่ใช่แค่เรื่องอายุ แต่เป็นตรงการตัดสินใจ ดังนั้นหนทางอนาคตของแอนดี้กับมิแรนด้าจึงเดินไปคนละเส้นทาง
ฉากที่เล่นเอาผมน้ำตาซึมเห็นทีจะหนีไม่พ้นตอนจบ ที่แอนดี้โบกมือให้มิแรนด้าขณะกำลังจะขึ้นรถ แต่มิแรนด้าก็ทำเป็นไม่สนใจรีบก้าวฉับๆ ขึ้นรถไป แอนดี้ก็เลยเดินต่อทำท่าประมารณว่า “ว่าแล้วล่ะ ว่าเธอต้องไม่ทักเราตอบ” แต่ตอนนั้นลึกๆ แอนดี้ก็รู้สึกว่ามิแรนด้าไม่ได้ไม่สนใจเธอหรอก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะมิแรนด้าเมื่ออยู่ในรถ เธอก็มองแอนดี้ที่เดินไปตามถนน หรืออีกนัยหนึ่ง มองคนที่เหมือนเธอตอนสาวๆ กำลังเดินตามทางที่เธอเลือกเอง … แล้วมิแรนด้าก็ยิ้ม
ได้เห็นคนสองคน เข้าใจกัน แม้จะไม่ได้พูดกัน … มันบอกไม่ถูกจริงๆ และผมก็น้ำตาซึมเอาจริงๆ ด้วยครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เห็นทีต้องไปสำรวจตัวเองแล้ว แต่บอกได้ว่ามันกินใจในความรู้สึกผมจริงๆ
บอกได้อีกอย่างว่าสองคนนี้ เล่นได้ดีเหนือจะกล่าวจริงๆ พาคนดูไปได้ครบทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะฮา ชีวิต เศร้า หรือซึ้ง … หนังแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ครับ
ส่วนดาราสมทบก็ช่วยเพิ่มสีมันอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะ Emily Blunt ในบทเอมิลี่ ผู้ช่วยเบอร์หนึ่งของมิแรนด้าที่ตัวสั่นงันงกทุกทีที่เจ้านายมางานก่อนเวลา รายนี้ก็ฮาได้มากครับ จริงๆ ผมว่าตัวละครนี้ยังสามารถเล่นอะไรได้อีกไม่น้อย แต่เอาเข้าใจหากมากกว่านี้มันก็จะไม่กลมกล่อมครับ ประมาณนี้แหละเหมาะแล้ว แต่ในรายที่พอดีพอเหมาะต้องยกให้ Stanley Tucci โคตรฮาครับ ท่าทางมาดเนี๊ยบเฉียบนิ้ง ในบทไนเจล ที่ไปๆ มาๆ กลายเป็นคนเดียวที่คอยให้กำลังใจแอนดี้ตลอด ซึ่งมันก็บ่งบอกอยู่ล่ะครับว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่พยายามจะไต่บันไดดาวเพื่อความสำเร็จ และในบางครั้งก็ต้องมีการหลอกตัวเองเพื่อก้าวเดินในธุรกิจนี้ต่อไป (ดังที่เห็นในตอนจบน่ะครับ)
แล้วก็ยังมีอีกสองหนุ่ม รายแรกคือ Adrian Grenier พระเอกจาก Drive me Crazy ที่มาเป็นเน็ท แฟนหนุ่มของแอนดี้ ว่าตามจริงผมว่าท่าทางแกเหมาะดีแหละครับ แต่บทและการแสดงอาจจะชืดไปบ้าง ยังไม่จี๊ดน่ะ แต่ก็ดีครับ ผมว่าเขาเข้ากับ Hathaway ได้ไม่เลว ส่วน Simon Baker ในบทคริสเตียนนั้นก็ต้องบอกว่าเท่ห์ เจ้าเสน่ห์สมบทมากๆ สาวใดไม่ตกหลุมรักเห็นทีจะยากล่ะครับ
นี่ก็เป็นงานกำกับของ David Frankel นะครับ รายนี้ทำหนังใหญ่น้อย ส่วนมากจะไปทำหนังทีวีมากกว่า อย่างบางตอนในปีหลังๆ ของ Sex and The City ส่วนหนังใหญ่ก็เคยทำ Miami Rhapsody หนังสไตล์ชีวิตบวกฮาบวกโรแมนติกที่ดูได้แบบเรื่อยๆ ครับ ไม่เด่นอะไรนัก แต่พอมาเรื่องนี้ต้องบอกว่าฝีมือแกเข้าฝักแล้วล่ะ ทำหนังได้ลื่นมาก สนุกและน่าติดตาม อีกทั้งหนังไม่ยาวเกินไปครับ แต่เต็มอิ่ม ไม่ต้องการมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ ดูแล้วจบออกมายิ้มได้ไม่เสียดายตังคื เพราะจะเอาความบันเทิงก็มี เอาสาระก็มี เอาอะไรมีให้หมดแม้แต่เพลงเพราะๆ ก็ยังมี
ผมอาจชอบหนังเรื่องนี้ออกหน้าออกตานะครับ แต่เชื่อเถอะ มันมีดีอ้ะ ไม่งั้นผมคงไม่พล่ามอะไรตั้งหลายหน้ากระดาษแบบนี้หรอก มีทั้งความสนุกและทุกอย่าง เอาเป็นว่าคุ้มค่าตั๋วแน่ๆ ครับ และผมคงต้องซื้อเก็บแน่ๆ นี่ยังอยากไปดูซ้ำเลยเนี่ย เพราะรู้สึกว่าหนังยังมีอะไรให้เราเก็บไปคิดได้อีกเยอะครับ … หมายถึงในกรณีที่ท่านอยากจะเก็บไปคิดน่ะนะครับ