IMDB : tt13446168
คะแนน : 7
หนังใช้สูตรการเล่าเรื่องแบบ Mockumentary หรือ หนังสารคดีล้อเลียน ที่เป็นหนังที่ซ้อนสารคดีไปในตัว ถือว่าเป็นการใช้สูตรที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควร เพราะการเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้มีหนังหลายเรื่องนำมาใช้และตกม้าตายไปก็หลายหนแล้วเช่นกัน แต่ ร่างทรง ก็เปิดตัวมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ ด้วยการแนะนำเป็นการถ่ายทำสารคดีที่ตามชีวิต ป้านิ่ม ร่างทรงย่าบาหยัน ที่เป็นคนสืบทอดร่างทรงนี้ในรุ่นปัจจุบัน หนังดำเนินเรื่องในช่วงแรกได้อย่างกลมกล่อมและน่าสนใจพอตัว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าชีวิตป้านิ่มและสิ่งที่เธอทำนั้นค่อนข้างอยากให้คนใฝ่รู้
แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นข้อดีหลักๆ เพียงอย่างเดียวในหนังเรื่องนี้ที่ทำออกมา ในขณะที่หนังเดินเรื่องมาได้สัก 15-20 นาทีแรกกับโจทย์ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ก่อนจะค่อยๆ เลอะเลือนประเด็นเบนไปอีกทางที่ไกลออกไป เมื่อหันไปโฟกัสเรื่องราวของหลานสาวที่ชื่อ มิ้งค์ กับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเธอที่ค่อนข้างเปลี่ยนไป ที่ยังคงหยิบความหลักแนวคิดความเชื่อทางศาสนามาเป็นเส้นกั้นบางๆ โดยใช้พุทธศาสนาและคริสตศาสน เข้ามาขนานเคียงข้างไปกับความเชื่อเรื่องภูติผี
เรื่องราวของมิ้งค์ในช่วงเกริ่นแรกๆ ก็ยังพอดูได้ แต่ยิ่งเป็นหนักเข้า ก็พลอยทำให้ภาพรวมของหนังเริ่มสั่นคลอนและสะเปะสะปะรุงรังไปหมด สุดท้ายก็ยังคงหยิบเอาสูตรสำเร็จหนังผีเดิมๆ ที่จีดีเอชเคยทำมาแล้ว อีกทั้งยังไปหยิบยืมองค์ประกอบของหนังแนวๆ นี้มาใช้สร้างสมดุลให้กับหนัง หลายคนอาจจะรู้สึกว่าหนังค่อยๆ ไต่ระดับความพีคในเรื่องราวยิ่งขึ้นไป แต่กลับมองว่าหนังยิ่งเละเทะยิ่งขึ้นๆ มากกว่า
โดยเฉพาะช่วงราวๆ 20 นาทีสุดท้ายของหนัง กลายเป็นความนรกแตกที่เหมือนผัดกับข้าวในขั้นตอนท้ายๆ ที่ปรับเร่งไฟขึ้นและหยิบจับใส่เครื่องปรุงนั่นนี่ลงกระทะแบบรัวๆ จนเปลวไฟลุกฉ่า แต่ผลลัพธ์ที่พยายามจะทำให้คนดูรู้สึกตกตะลึงและหวาดผวากับตัวหนังถือว่าล้มเหลว กลับรู้สึกว่าหนังพาคนดูมาได้ไกลมาก...ไกลจนเกินไป เมื่อลองเหลียวมองหันหลังกลับไปดูจุดเริ่มต้นที่หนังได้สั่งสมเอาไว้เสียดิบดี แต่ช่วงสุดท้ายคือ...เมนูที่ดูจัดจ้านแต่รสชาติยังไม่กลมกล่อม
เอาจริงๆ ก็ไม่อยากจะคิดไปเองว่า หรือว่า "โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล" หมดแพชชั่นกับการทำหนังสยองขวัญที่เขาเคยทำเอาไว้ขึ้นหิ้งมาแล้วหรือเปล่า วิสัยทัศน์ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้แทบไม่ค่อยเห็นความจัดจ้านในรูปแบบหนังผีของโต้งที่เคยสร้างสรรค์ออกมาเลย ถือว่าดีที่มีโปรดิวเซอร์เกาหลี "นาฮงจิน" มาช่วยคลุมโทนของหนังเอาไว้ได้อยู่หมัด ไม่เช่นนั้น ร่างทรง อาจจะการมีความเละเทะ ทะลุทะลวงลอยแม่น้ำโขงไปไกลได้
แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับฝีไม้ลายมือของทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ที่เป็นความฉลาดของหนังที่ไม่เลือกใช้ดาราที่มีชื่อเสียงมาถ่ายทอดเรื่องนี้ การใช้นักแสดงโนเนมมาสวมบทบาทก็ทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงคาแรกเตอร์ต่างๆ ได้ดี ต้องปรบมือให้กับ "ญดา นริลญา" ที่แม้ว่าจะเป็นนักแสดงสาวที่เคยมีผลงานเล่นซีรีส์มาบ้างประปราย แต่มาในเรื่องนี้เจองานหินแต่เธอก็สู้ไม่หวั่นเช่นกัน คาแรกเตอร์ของเธอค่อนข้างหนักหน่วงพอสมควร ทั้งแอคติ้งเป็นคนทั่วไปก็ว่ายากแล้ว นี่ต้องมาเล่นเป็นคนไม่ปกติ และสีหน้า-แววตาทางการแสดงของเธอ ก็ถือว่าเกื้อกูลต่อตัวหนังได้ระดับหนึ่ง
แต่ดาวเด่นจริงๆ ในหนังก็คงต้องยกให้ "สวนีย์ อุทุมมา" คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แม้ว่าเราจะเห็นเคยเธอรับบทตัวประกอบ-ตัวละครสมทบอยู่เรื่อยๆ แต่ฝีมือการแสดงของเธอนั้น เทียบชั้นครูได้เลย ทุกๆ ฉากที่มีเธอปรากฏตัวขึ้นมาในหนังนั้น มีพลังอย่างเหลือล้น เธอจึงกลายเป็นตัวละครที่ช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้อย่างแท้จริง เป็นการแสดงที่ปลดปล่อยออกมาในรูปแบบน้อยแต่มาก ทั้งอินเนอร์และท่าทางออกมาเองโดยอัตโนมัติ ต้องยกให้เธอคนนี้จริงๆ
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่คงต้องชื่นชมในหนังเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นงานออกแบบศิลป์ในฉากต่างๆ พิธีกรรมที่จัดฉากขึ้นมาดูมีมนต์ขลังในแบบที่ไม่ต้องพยายาม ทีมงานทำการบ้านในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าพอใจ ยิ่งมาผนวกกับบรรยากาศโลเคชั่นป่าฝนริมโขง แถวพื้นที่ จ.เลย และภาคอีสานตอนบน ยิ่งเพิ่มโทนบรรยากาศของหนังให้ดูมีความเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
เอาเป็นว่าในภาพรวมนั้น ร่างทรง ยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบใดๆ การใช้สูตร Mockumentary ของหนังเกือบจะล้มเหลว ในขณะที่บทหนังก็ดูยังไม่แข็งแรงเพียงพอ หนังพยายามบิ้วท์ความกลัวและความสยองขวัญมากเกินไป เปิดเรื่องมาด้วยประเด็นที่ชัดเจนและน่าสนใจ แต่ดันเบนเข็มไปแตะต้องสูตรสำเร็จความน่ากลัวแบบเดิมๆ ที่ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกบันเทิงตามด้วยสักเท่าไหร่ จากการเปิดตัวร่างทรงแบบสวยๆ มาปิดท้ายกลายเป็นงานคนทรงที่เละเทะข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด และโดยสรุปแล้ว...ความสะพรึงของหนังก็ยังไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้น